เมื่อเทรนด์ 'Green City' หรือ 'เมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม' กำลังมาแรง Bordeaux เมืองในฝรั่งเศสชู 4 ปัจจัยหลัก ๆ ในการสร้างสรรสังคมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และผู้คนในระยะยาว
ทำไมเมือง บอร์กโดซ์ ถึงได้รับขนานนามว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในฝรั่งเศส
ฝรั่งเศส ประเทศที่ร่ำรวยทั้งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกล้วนได้รับอิทธิพลจากประเทศฝรั่งเศส ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
วันนี้เราจะพูดถึง บอร์กโดซ์ เมืองในฝรั่งเศสที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ หากใครเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเมือง บอร์กโดซ์ มาบ้าง ก็พอจะรู้ว่าเมืองนี้เป็นแหล่งปลูกไวน์ชั้นดีแห่งหนึ่งของโลก
แต่นอกเหนือจากไวน์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับเมืองนี้แล้ว อยากชวนมาดูปัจจัยอื่น ๆ ว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้เมือง บอร์กโดซ์ ถึงได้ชื่อว่าเป็น ‘เมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในฝรั่งเศส’
Bordeaux เมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นอกจาก บอร์กโดซ์ จะเป็นเมืองที่ร่ำรวยประวัติศาสตร์และมรดกทางวัฒนธรรมอย่างที่กล่าวไปแล้ว หากจะพูดว่าเมืองแห่งนี้ ยังเป็นสวรรค์ของเหล่านักปั่นก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะผู้คนมักเรียกเมือง บอร์กโดซ์ ติดปากกันว่า City of Bikes หรือ เมืองแห่งจักรยาน
ภายในบริเวณตัวเมือง บอร์กโดซ์ มีพื้นที่กว่า 200 กิโลเมตรสำหรับเส้นทางจักรยาน และยังมีหลากหลายเส้นทางให้นักปั่นได้ออกแบบเส้นทางปั่นจักรยานได้อย่างเพลิดเพลิน เพราะนอกจากถนนหนทางจะเอื้ออำนวยแล้ว สิ่งอำนวยความสะดวกด้านอื่น ๆ ก็ถึงพร้อมไม่แพ้กัน
หากเราหายตัวไปแล้วไปโผล่ที่ บอร์กโดซ์ เรามักจะเห็นร้านซ่อมจักรยานอยู่เต็มไปหมด ในแต่ละพื้นที่ไม่ว่าจะเป็น ร้านค้า ร้านอาหาร รวมถึงสถานที่สาธาณะต่าง ๆ ล้วนมีพื้นที่เผื่อไว้สำหรับให้จักรยานจอด
หากใครไม่มีจักรยานเป็นของตัวเอง ก็ไม่ต้องกระวนกระวายในการเดินทางมาก เพราะแอปที่ให้บริการเช่าจักรยานในเขตเมือง บอร์กโดซ์ มีให้พร้อมเช่น V3 เป็นต้น
ฉะนั้น ด้วยเหตุผลที่สนับสนุนให้ประชากรได้เข้าถึงการปั่นจักรยานด้วยความสะดวก จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม บอร์กโดซ์ ถึงได้ชื่อว่าเป็น เมืองแห่งจักรยาน หรือ City of Bikes ลองจินตนาการดูว่า เราไม่ต้องรีบตื่นแต่เช้า เพื่อไปยืนรอรถสาธารณะและสุดท้ายก็ไปแออัดกันอยู่บนถนน
รู้หรือไม่! อัตราการปั่นจักรยานใน Bordeaux เพิ่มมากขึ้น 20% จากปี 2020 ถึงปี 2022
นี่จึงเป็นความสะดวกสบายสำหรับพลเมือง ที่เมือง บอร์กโดซ์ ได้ปูพื้นฐานการเดินทางของพลเมืองไว้เช่นนี้ เพราะนอกจากจะรวดเร็วและสะดวกสบายแล้ว
ปริมาณรถในเมืองที่ลดน้อยลง ก็เป็นการช่วยลดมลพิษบนท้องถนนได้ และท้ายที่สุด ผลประโยชน์ก็จะกลับมาสู่พลเมือง ในการเข้าถึงอากาศสะอาด มีคุณภาพชีวิตที่ดี และไม่เครียดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ต่อเนื่องมาจากหัวข้อที่แล้ว เมื่อมีการสนับสนุนให้คนออกมาใช้จักรยานในการเดินทาง นั่นหมายความว่า การเดินทางด้วยรถยนต์ก็อาจะลดน้อยลงไปด้วย
เมือง บอร์กโดซ์ อัตราการเดินทางด้วยรถยนต์อยู่ที่ 29% ของการเดินทางในเมือง ตัวเลขนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้คนไม่ค่อยนิยมการใช้รถกันเท่าไร หากเทียบกับกรุงเทพมหานครแล้ว การเดินทางในเมืองด้วยรถส่วนตัวจะอยู่ที่ 70% (ข้อมูลในปี 2018)
นายกเทศมนตรีเมือง บอร์กโดซ์ อย่าง Pierre Hurmic ได้วางเป้าหมายในเรื่องการใช้รถใช้ถนนของประชากรไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องการให้ บอร์กโดซ์ เป็นเมืองทีปลอดรถยนต์ (car-free) ด้วยการส่งเสริมให้ประชากรหันมาใช้จักรยาน และขนส่งสาธารณะของเมืองมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันนี้ เมือง บอร์กโดซ์ เป็นเมืองที่มีรถน้อยมาก ส่วนมากแล้วจะมีรถรางไฟฟ้า และมีเลนส์สำหรับการปั่นจักรยานบนท้องถนนโดยเฉพาะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพลเมือง
ในด้านนโยบายก็รับกันกับเป้าหมายที่เมืองต้องการจะไปก็คือ เมือง บอร์กโดซ์ กำหนดความเร็วบนท้องถนนไว้ที่ 30 กม./ชม. จึงไม่แปลกใจนักหากคนจะหันมาใช้จักรยานในการเดินทางกันมากขึ้น
หากเราจะมองในภาพรวมก็คือ บรรยากาศของเมือง บอร์กโดซ์ จะอุดมไปด้วยผู้คน เดินผ่านไปมา มีคนปั่นจักรยาน ไม่มีเสียงรบกวนจากรถบนท้องถนน ไม่เกิดมลพิษจากฝุ่นควัน
ขณะเดียวกันเศรษฐกิจโดยรอบก็พลอยมีชีวิตชีวาไปด้วย ร้านค้าริมทางได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากยิ่งขึ้น แทนที่จะขับรถผ่านไปมา แต่เพราะโครงสร้างของเมืองมันเอื้อให้เหล่าประชากรได้มีเวลาสำรวจชีวิตแบบช้า ๆ
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้เมืองเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมก็คือพื้นที่สีเชียว ภายในปี 2050 มีการคาดการณ์ว่า 70% ของประชากรทั้งโลกมีแนวโน้มที่จะอาศัยอยู่ในเขตเมือง นี่จึงถือเป็นโจทย์ใหญ่สำหรับเมืองต่าง ๆ ว่าจะเลือกสรรและออกแบบเมืองที่ดีในระยะยาวให้กับประชากรของตัวเองอย่างไร
ขณะนี้หลาย ๆ เมืองทั่วโลกพยายามอย่างหนักในการผลักดันให้เกิดพื้นที่สีเขียว เพื่อกวักมือเรียกเหล่าประชากรของตัวเอง ให้ออกมาใช้ชีวิตและมีปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่สีเขียวที่เมืองเตรียมไว้ให้
แม้พื้นที่สีเขียวของเมือง บอร์กโดซ์ จะต่ำกว่าเมืองอื่น ๆ ของฝรั่งเศสอยู่เล็กน้อย แต่ถึงกระนั้น พื้นที่สีเขียว ที่ประชาชนสามารถไปใช้ชีวิตได้ก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เราจึงรวบรวมมาให้ดังนี้
ทั้งนี้ทั้งนั้น พื้นที่สีเขียวถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมาก ในการช่วยลดมลภาวะในอากาศของเมืองลง และต้นไม้ใบเขียวต่าง ๆ ก็จะช่วยเราดูดซับก๊าซคาร์บอนฯ เอาไว้ ทำให้อากาศสะอาดมากยิ่งขึ้น
และนอกเหนือจาก คุณประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว การที่ผู้คนออกมาใช้สอยพื้นที่สีเขียวยังสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ด้านอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย
ต้องบอกว่าในเมือง บอร์กโดซ์ นั้นเต็มไปด้วยร้านค้า ตลาดสด เรื่อยไปจนถึงซุปเปอร์มาร์เก็ตที่จำหน่ายสินค้าแบบออแกนิค โดยเป้าหมายที่ผู้ค้าขายเหล่านี้ยึดถือร่วมกันก็คือ ความใส่ใจในอาหารการกิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบของชีวิตและสุขภาพของผู้บริโภคได้
ยกตัวอย่างเช่น ตลาดที่คนนิยมไปจับจ่ายใช้สอยกันอยู่ประจำอย่าง Marché des Capucins ที่ตลาดแห่งนี้จะเต็มไปด้วย ผักสด ผลไม้สดหลายสีสัน ขนมปังโฮมเมด หรือผลิตภัณฑ์ออแอนิคที่ถูกผลิตขึ้นตามฤดูกาล
การันตีได้เลยว่า นักท่องเที่ยว หรือพลเมืองเองก็ตาม สามารถมีตัวเลือกของอาหารการกินที่ออแอนิค สดใหม่ และมีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ และแน่นอนย่อมเป็นผลดีกับสิ่งแวดล้อมด้วย
เป็นอย่างไรกันบ้าง? 4 ปัจจัยหลัก ๆ ที่ทำให้ บอร์กโดซ์ ได้รับขนานนามว่าเป็นเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในแดนน้ำหอม สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเห็นว่าโครงสร้างของเมือง หรือสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ของเมือง สามารถกำหนดวิถีชีวิตของผู้คนได้
หากทุก ๆ ภาคส่วนให้ความร่วมมือกัน เพราะนอกจากเมืองในองค์รวมจะพัฒนาขึ้นแล้ว คุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ก็จะสะดวกสบาย และไม่ต้องมากังวลเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างปัญหารถติด ปัญหาขนส่งสาธารณะ หรืออื่น ๆ อีกมากมายเกินนิ้วมือจะนับไหว
ที่มา: ecobnb
เนื้อหาที่น่าสนใจ