พลังงานความร้อนใต้พิภพขั้นสูงอาจรองรับพลังงานศูนย์ข้อมูลในสหรัฐฯ ได้ถึง 2 ใน 3 ภายในปี 2030 โดยเพิ่มกำลังการผลิตจาก 4 เป็น 16 กิกะวัตต์
ปัจจุบัน ศูนย์ข้อมูลขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับเทคโนโลยี AI และระบบคลาวด์ ทำให้ทรัพยากรพลังงานอาจไม่เพียงพอ แต่รายงานฉบับใหม่ของ Rhodium Group ระบุว่า พลังงานความร้อนใต้พิภพขั้นสูงสามารถรองรับความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูลได้ถึง 2 ใน 3 ภายในปี 2030 ด้วยต้นทุนที่แข่งขันได้และศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงอนาคตของพลังงานสะอาด
ข้อมูลจากการวิเคราะห์ของ Rhodium Group พบว่าพลังงานความร้อนใต้พิภพขั้นสูงสามารถรองรับความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูลใหม่ได้มากถึง 2 ใน 3 ภายในปี 2023 โดยการเพิ่มขึ้นนี้จะทำให้กำลังการผลิตพลังงานความร้อนใต้พิภพในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 4 เท่า จากเดิมซึ่งอยู่ที่ 4 กิกะวัตต์ไปอยู่ที่ประมาณ 16 กิกะวัตต์ ในขณะที่ต้นทุนยังคงเท่าเดิมหรือลดลง เมื่อเทียบกับที่ผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลจ่ายอยู่ในปัจจุบัน
ในพื้นที่ทางตะวันตกของสหรัฐฯ ซึ่งมีทรัพยากรความร้อนใต้พิภพที่อุดมสมบูรณ์กว่าพื้นที่อื่น ๆ เทคโนโลยีนี้อาจรองรับความต้องการพลังงานของศูนย์ข้อมูลใหม่ได้ทั้งหมด 100% ตัวอย่างเช่น เมืองฟีนิกซ์ สามารถเพิ่มศูนย์ข้อมูลที่มีกำลังการผลิต 3.8 กิกะวัตต์ได้ โดยไม่ต้องสร้างโรงไฟฟ้าแบบดั้งเดิมเพิ่มเติมแม้แต่แห่งเดียว
ทรัพยากรความร้อนใต้พิภพมีศักยภาพอย่างมหาศาลในการให้พลังงานที่สม่ำเสมอ โดยในอดีต โรงไฟฟ้าความร้อนใต้พิภพมักถูกจำกัดให้อยู่ในพื้นที่ที่ความร้อนของโลกไหลขึ้นมาใกล้พื้นผิวเท่านั้น แต่ปัจจุบัน เทคนิคขั้นสูงสามารถปลดล็อกกำลังการผลิตพลังงานสะอาดได้ถึง 90 กิกะวัตต์ในสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียว ตามข้อมูลจากกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ
พลังงานความร้อนใต้พิภพขั้นสูงหรือที่เรียกกันว่าพลังงานความร้อนใต้พิภพแบบเสริม ครอบคลุมแนวทางที่หลากหลาย แต่โดยทั่วไปแล้วจะเป็นการขุดเจาะพลังงานความร้อนใต้พิภพลงไปได้ลึกและกว้างขึ้นกว่าที่เคย ซึ่งทำให้สามารถเข้าถึงหินที่ร้อนขึ้นและหมายถึงพลังงานที่มากขึ้น รวมถึง สามารถติดตั้งหลุมเจาะในพื้นที่เดียวกันได้มากขึ้น โดยอุตสาหกรรมนี้มีการเติบโตของสตาร์ทอัพอย่างรวดเร็วขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งได้รับแรงขับเคลื่อนจากองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่นำมาจากอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ
ตัวอย่างเช่น Fervo Energy ที่ก่อตั้งขึ้นโดยอดีตวิศวกรด้านน้ำมันและก๊าซ เพื่อขยายศักยภาพของพลังงานความร้อนใต้พิภพโดยใช้เทคนิคการขุดเจาะแนวนอน ซึ่งได้รับการพัฒนาจนสมบูรณ์แบบในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา และบริษัทสามารถระดมทุนได้กว่า 200 ล้านดอลลาร์ในปี 2024 หลังจากประสบความสำเร็จในการลดต้นทุนการขุดเจาะลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
สตาร์ทอัพอีกราย อย่าง Bedrock Energy ที่ใช้วิธีการขุดเจาะลึกลงไปเพื่อลดพื้นที่ติดตั้งระบบความร้อนใต้พิภพ ทำให้อาคารสำนักงานและศูนย์ข้อมูลที่มีพื้นที่จำกัดสามารถผลิตพลังงานได้มากขึ้นจากพื้นที่อันน้อยนิดของตัวเอง โดยแท่นขุดเจาะเฉพาะทางของบริษัทสามารถขุดลึกลงไปได้ถึง 365.76 เมตร ทำให้ได้มาซึ่งความร้อนที่สม่ำเสมอตลอดทั้งปี
CREDIT: Quaise Energy
ขณะที่เทคโนโลยีของ Quaise Energy ฟังดูราวกับหลุดออกมาจากนิยายวิทยาศาสตร์ เนื่องจากบริษัทสตาร์ทอัพแห่งนี้ใช้คลื่นไมโครเวฟจากไจโรตรอน (Gyrotron) เพื่อทำให้หินระเหยแทนการใช้หัวเจาะแบบเดิม ด้วยแนวทางนี้ บริษัท Quaise ตั้งเป้าว่าจะขุดเจาะลงไปลึกให้ได้ถึง 20 กิโลเมตร ซึ่งที่ระดับความลึกดังกล่าว หินจะมีอุณหภูมิเกือบ 1,000 องศาฟาเรนไฮต์หรือประมาณ 537.78 องศาเซลเซียส สามารถมอบแหล่งความร้อนที่แทบจะไม่มีขีดจำกัดสำหรับการผลิตไฟฟ้าหรือให้ความร้อนแก่ตัวอาคาร
CREDIT: Sage Geosystems
นอกจากการใช้พลังงานความร้อนใต้พิภพในการผลิตและกักเก็บความร้อนแล้ว ยังมีบริษัทสตาร์ทอัพอีกแห่งที่นำพลังงานความร้อนใต้พิภพมาใช้เพื่อเก็บพลังงานในอีกรูปแบบหนึ่ง โดย Sage Geosystems ได้พัฒนาวิธีฉีดน้ำเข้าไปในบ่อเจาะภายใต้แรงดัน และเมื่อจำเป็นต้องใช้พลังงาน ก็สามารถปล่อยน้ำออกมาและให้ไหลผ่านกังหัน คล้ายกับการทำงานของเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำแบบกลับด้าน
เนื่องจากต้นทุนการดำเนินงานของพลังงานความร้อนใต้พิภพอยู่ในระดับที่ต่ำมาก จึงทำให้ราคาพลังงานสามารถแข่งขันได้กับต้นทุนพลังงานของศูนย์ข้อมูลในปัจจุบัน โดยรายงานของ Rhodium Group ระบุด้วยว่า ศูนย์ข้อมูลที่ตั้งอยู่ในทำเลที่พิจารณาจากปัจจัยด้านเครือข่ายไฟเบอร์ออปติกและเมืองใหญ่ จะมีต้นทุนพลังงานอยู่ที่ประมาณ 75 ดอลลาร์ต่อเมกะวัตต์ชั่วโมง
แต่หากนักพัฒนาเลือกสถานที่ตั้งของศูนย์ข้อมูลโดยคำนึงถึงศักยภาพของพลังงานความร้อนใต้พิภพด้วยแล้วนั้น ต้นทุนพลังงานจะลดลงอย่างมาก เหลือเพียง 50 ดอลลาร์ต่อเมกะวัตต์ชั่วโมงเท่านั้น
รายงานยังตั้งข้อสันนิษฐานว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานใหม่จะเป็นรูปแบบ “เบื้องหลังมิเตอร์” (Behind the meter) ซึ่งเป็นชื่อที่ผู้เชี่ยวชาญเรียกกรณีที่โรงไฟฟ้าเชื่อมต่อกับลูกค้าโดยตรง โดยไม่ผ่านโครงข่ายไฟฟ้า เนื่องจากเวลาที่ต้องรอการเชื่อมต่อโรงไฟฟ้าแห่งใหม่เข้าสู่ระบบโครงข่ายอาจใช้เวลาหลายปี ดังนั้น แนวทางนี้จึงได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากผู้ให้บริการศูนย์ข้อมูลที่ต้องเร่งขยายกำลังการผลิตเพื่อให้ทันกับความต้องการใช้งาน
ที่มา: Tech Crunch
ข่าวที่เกี่ยวข้อง