SHORT CUT
Kyodo สำนักข่าวของญี่ปุ่นรายงานว่า Honda และ Nissan กำลังพิจารณาการผลิตรถยนต์ร่วมกันเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้ต่อสู้กับคู่แข่งจากจีนและสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่จะกระชับความสัมพันธ์และอาจรวมกิจการกัน
วงการรถยนต์ทั่วโลกสั่นสะเทือน เมื่อมีรายงานว่า Honda และ Nissan สองค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น กำลังพิจารณาควบรวมกิจการครั้งประวัติศาสตร์ ภายใต้บริษัทโฮลดิ้งเดียวกัน โดยมีแผนจะดึง Mitsubishi Motors เข้ามาร่วมวงด้วย หวังสร้าง ผลงานร่วมกันและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
ตลาดรถยนต์ทั่วโลกกำลังเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ทั้งจากผู้เล่นรายเดิมและผู้เล่นหน้าใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากจีนที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และ Tesla ผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า ที่เข้ามา Disrupt ตลาด
การพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า, ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ และเทคโนโลยีต่างๆล้วนต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล การควบรวมกิจการจะช่วยให้บริษัทสามารถ แบ่งปันต้นทุนและใช้ทรัพยากรร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การรวมตัวกันจะช่วยให้ทั้งยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่น 3 บริษัท ผสานจุดแข็งของกันและกัน เช่น ด้านเทคโนโลยีไฮบริด, ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า, ฐานการผลิตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
หากการควบรวมเกิดขึ้นจริง จะก่อให้เกิด Mega Company แห่งใหม่ในวงการรถยนต์ ด้วยยอดขายรวมกันกว่า 8 ล้านคันต่อปี ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก แม้จะยังตามหลัง Toyota (11.2 ล้านคัน) และ Volkswagen (9.2 ล้านคัน)
Honda มีมูลค่าตลาดสูงถึง 5.95 ล้านล้านเยน (38.8 พันล้านดอลลาร์) ขณะที่ Nissan มีมูลค่า 1.17 ล้านล้านเยน (7.6 พันล้านดอลลาร์) หากเกิดข้อตกลงควบรวมกิจการระหว่างสองบริษัทนี้จริง จะกลายเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุดในวงการยานยนต์ นับตั้งแต่ Fiat Chrysler และ PSA รวมตัวกันเป็น Stellantis ด้วยมูลค่า 52 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2564
Honda และ Nissan สองค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งสำคัญ เมื่อส่วนแบ่งทางการตลาดในจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังถูกคู่แข่งแดนมังกรช่วงชิง
ตัวเลขที่สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์อันน่ากังวลนี้ คือยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในจีน ที่พุ่งสูงขึ้นถึง 1.27 ล้านคัน ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 70% ของยอดขาย EV ทั่วโลก
Nissan Motor Co., Ltd. เปิดเผยผลประกอบการครึ่งปี (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567) โดยมี กำไรสุทธิ ลดลงอย่างมาก กว่า 90% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทต้องปรับลดคาดการณ์ กำไรจากการดำเนินงาน ประจำปีลง ประมาณ 70%
โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังมีแผนจะเรียกเก็บภาษีสำหรับรถยนต์ที่ส่งจากแคนาดาและเม็กซิโกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับบริษัทต่างๆ มากขึ้น ซึ่งทั้ง Honda และ Nissan ก็ผลิตรถยนต์ในเม็กซิโกเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา
สถานการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือนให้ Honda และ Nissan ต้องเร่งปรับตัว และพัฒนากลยุทธ์ เพื่อแข่งขันในตลาด EV จีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต
แม้ Honda และ Nissan จะยังไม่ออกมายืนยันข่าวนี้ แต่ความเคลื่อนไหวในตลาดหุ้น สะท้อนให้เห็นถึง ความคาดหวัง ของนักลงทุน โดยราคาหุ้นของ Honda และ Nissan ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ หลังมีข่าวการควบรวม
การควบรวมครั้งนี้ หากเกิดขึ้นจริง จะเป็น ดีลประวัติศาสตร์ ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของอุตสาหกรรมยานยนต์โลก และน่าจับตามองว่า Mega Company แห่งใหม่นี้ จะสามารถแข่งขันกับ Toyota และ Tesla ได้มากน้อยแค่ไหน
ปัจจุบัน Honda, Nissan และ Mitsubishi มีโรงงานผลิตขนาดใหญ่ในประเทศไทย ด้วยกำลังการผลิตรวมกันกว่า 1 ล้านคันต่อปี Honda : 270,000 คัน (กำลังลดเหลือ 120,000 คัน), Mitsubishi : 424,000 คัน, Nissan : 370,000 คัน
มีข่าวลือว่า Nissan Thailand กำลังพิจารณายุบรวมไลน์การผลิตจากโรงงาน Plant 1 ไปยัง Plant 2 เพื่อลดต้นทุน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการปรับตัว เพื่อรับมือกับสถานการณ์การควบรวมกิจการ