ตอนนี้ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจกับพลังงานไฮโดรเจนในการผลิตไฟฟ้า เนื่องจากพลังงานไฮโดรเจนเป็นพลังงานสะอาดที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ซึ่งตอบโจทย์เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนหรือ Carbon Neutrality ในปี ค.ศ. 2050 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ. 2065
การเปลี่ยนผ่านทางพลังงานจากพลังงานฟอสซิลสู่พลังงานหมุนเวียน เป็นการนำพลังงานที่กำเนิดมาจากธรรมชาติซึ่งอยู่รอบตัวเราและใช้ได้ไม่หมด อย่าง พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม มาใช้ประโยชน์ในการผลิตพลังงานให้กับมนุษย์ นับเป็นความท้าทายของทุกประเทศทั่วโลกที่ต้องเร่งเพิ่มอัตราการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้ได้มากที่สุด เพื่อความมั่นคงทางด้านพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน
ไฮโดรเจน พลังงานแห่งอนาคต
การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานไฮโดรเจนกำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะพลังงานไฮโดรเจนสามารถสังเคราะห์ได้จากวัตถุดิบตามธรรมชาติหลากหลายประเภท ทั้งก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ชีวมวล ซึ่งมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือจะเป็นจาก พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์หรือกระบวนการอิเล็กโทรลิซิส (electrolysis) เพื่อแยกน้ำออกเป็นออกซิเจนและไฮโดรเจนที่ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีการคาดการณ์ว่าในปี ค.ศ.2050 ความต้องการในการใช้ไฮโดรเจนจะเพิ่มขึ้น 6 เท่าจากปี ค.ศ.2020 โดยถูกนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าให้กับรถยนต์ เครื่องบิน เรือ หรือการขนส่งบรรทุกสินค้า ฯลฯ
ในส่วนของประเทศไทยเอง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในฐานะหน่วยงานที่ดูแลความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าได้ศึกษาพัฒนาการนำไฮโดรเจนมาใช้ประโยชน์ในการผลิตไฟฟ้า มีเป้าหมายเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานพลังงานเพื่อให้บริการพลังงานสีเขียว โดยมีความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐ และเอกชน ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ อาทิ หน่วยงานพลังงานของประเทศออสเตรเลียที่มีเป้าหมายมุ่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนเช่นเดียวกัน
โครงการ Latrobe Valley Hydrogen Facility ของประเทศออสเตรเลีย เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Hydrogen Energy Supply Chain (HESC) ที่นำร่องผลิตไฮโดรเจนจากถ่านหินและสารชีวมวล ด้วยขบวนการแปรสภาพเป็นก๊าซ (Gasification) และการกลั่นให้ได้ก๊าซไฮโดรเจนบริสุทธิ์ (Refining) ซึ่งสอดคล้องกับ กฟผ. ที่สามารถผลิตไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) ที่ผลิตมาจากพลังงานลมได้สำเร็จและใช้งานได้จริงตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 โดยกักเก็บพลังงานไฟฟ้าจากกังหันลมในรูปของก๊าซไฮโดรเจน (Wind Hydrogen Hybrid System) จับคู่กับเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) กำลังผลิต 300 กิโลวัตต์ เปลี่ยนไฮโดรเจนเป็นพลังงานไฟฟ้าจ่ายให้กับศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. ลำตะคอง
โดยที่ Latrobe Australia มีทรัพยากรถ่านหินลิกไนท์คุณภาพใกล้เคียงกับที่ กฟผ. แม่เมาะที่ไม่สามารถนำไปผลิตไฟฟ้าได้ เป็นลิกไนต์ที่มีแคลเซียมสูงจำนวนมาก ซึ่งเหมาะจะนำมาสกัดเป็นไฮโดรเจนสีน้ำตาล (Brown Hydrogen) ซึ่งหากนำมาผลิตไฮโดรเจนจะถือเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีในประเทศได้ประโยชน์สูงสุด เป็นการแปลงเชื้อเพลิงฟอสซิลให้เป็นพลังงานสีเขียว ตอบโจทย์ Carbon Neutrality ได้อย่างดี นอกจากนี้ Latrobe ยังใช้เทคโนโลยี CCS (Carbon Capture and Storage) ในการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากกระบวนการผลิตไฮโดรเจนจากถ่านหิน (Brown Hydrogen) เช่นเดียวกับที่ กฟผ. กำลังศึกษาเทคโนโลยี CCS ในพื้นที่ที่มีศักยภาพคือ โรงไฟฟ้าน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น และโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ควบคู่กับการผลิตไฮโดรเจนจากถ่านหินซึ่งจะทำให้ได้ไฮโดรเจนสีน้ำเงิน (Blue Hydrogen) เป็นเชื้อเพลิงคาร์บอนต่ำเช่นเดียวกัน
กฟผ. กางแผนพัฒนาและเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานไฮโดรเจน
กฟผ. มีแผนศึกษาและพัฒนาโครงการการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) และสีน้ำเงิน (Blue Hydrogen) บนพื้นที่ศักยภาพของ กฟผ. ในประเทศไทย ตลอดจนการศึกษารูปแบบและเทคโนโลยีการผสมไฮโดรเจนร่วมกับก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงให้แก่โรงไฟฟ้า ผ่านการร่วมศึกษาและแลกเปลี่ยนความรู้กับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีไฮโดรเจน
โดยมีแผนเพิ่มกำลังการผลิตไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) จากโครงการโรงไฟฟ้ากังหันลมลำตะคอง ระยะที่ 2 เต็มศักยภาพ รวมถึงต่อยอดพัฒนาไปยังพื้นที่โครงการพลังงานทดแทนจากพลังงานลมและแสงอาทิตย์แห่งอื่นๆ ของ กฟผ. ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศ
และในปี พ.ศ. 2567 กฟผ. มีแผนศึกษาความเหมาะสมโครงการผลิตไฟฟ้าด้วยก๊าซสังเคราะห์จากถ่านหินที่มีแคลเซียมออกไซด์ (CaO) สูง ควบคู่กับเทคโนโลยีการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และการนำไปใช้ประโยชน์ (Carbon Capture, Utilization and Storage : CCUS) ณ โรงไฟฟ้าแม่เมาะ จ.ลำปาง ซึ่งได้เป็นไฮโดรเจนสีน้ำเงิน (Blue Hydrogen)
และในปีเดียวกัน กฟผ. ยังมีแผนเริ่มศึกษาความเหมาะสมโครงการศึกษารูปแบบการผสมและการใช้งานไฮโดรเจนร่วมกับก๊าซธรรมชาติ เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าวังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา และโรงไฟฟ้าน้ำพอง จ.ขอนแก่น โดยมีเป้าหมายปริมาณการผสมไฮโดรเจนสูงสุดที่สัดส่วน 20% ทั้งนี้ กฟผ. มีแผนเพิ่มสัดส่วนไฮโดรเจนในการผลิตสำหรับโรงไฟฟ้าต่าง ๆ ดังนี้
นอกจากนี้ กฟผ. ยังแสวงหาความร่วมมือศึกษาพัฒนาและลงทุนเทคโนโลยีผลิตไฮโดรเจน รวมถึงบริหารจัดการทั้ง Value Chain กับพันธมิตรทั้งไทยและต่างประเทศ เช่น ซาอุดีอาระเบีย ญี่ปุ่น เยอรมนี รวมถึงสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ตลอดจนเทคโนโลยี และกระตุ้นการพัฒนาส่งเสริมการผลิตไฮโดรเจนใช้งานในภาคอุตสาหกรรมและการผลิตไฟฟ้า ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนหรือ Carbon Neutrality และ Net Zero อย่างยั่งยืน