งานวิจัยพบว่า 'สภาพอากาศแปรปรวน' ระหว่างน้ำท่วมและแห้งแล้งจัด ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดไฟป่าครั้งใหญ่ในลอสแองเจลิส กำลังเกิดขึ้นแบบทวีคูณทั่วโลก เนื่องมาจากภาวะโลกร้อน
การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างรวดเร็วระหว่างสภาพอากาศที่เปียกชื้นและสภาพอากาศที่แห้งแล้ง อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้คนได้มากกว่าที่คิด โดยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศอย่างรวดเร็ว ได้ก่อให้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในแอฟริกาตะวันออก ปากีสถาน และออสเตรเลีย รวมถึงคลื่นความร้อนที่เลวร้ายลงในยุโรปและจีน
นักวิจัยพบว่าเกือบทุกที่บนโลกได้ประสบกับเหตุการณ์ 'สภาพอากาศแปรปรวน' เพิ่มขึ้นนับตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 20 เนื่องจากการปล่อยมลพิษจากเชื้อเพลิงฟอสซิลทำให้ชั้นบรรยากาศร้อนขึ้น และ 'สภาพอากาศแปรปรวน' เหล่านี้คือสิ่งที่กำลังจะเกิดบ่อยครั้งและรุนแรงมากขึ้น หากโลกยังคงมีอุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ
สาเหตุเบื้องหลังของเหตุการณ์ 'สภาพอากาศแปรปรวน' คือการที่ชั้นบรรยากาศที่อบอุ่นสามารถกักเก็บไอน้ำไว้ได้มากขึ้น ทำให้เมื่อมีฝนตกก็จะหนักมากกว่าปกติจนเกิดน้ำท่วมรุนแรง แต่พอน้ำลด น้ำเหล่านั้นกลับไม่ได้ถูกดูดซับไว้ใต้ดิน แต่ชั้นบรรยากาศจะดูดไอน้ำจากดินกลับไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดภาวะที่แห้งแล้งผิดปกติในเวลาเดียวกัน นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อากาศแห้งจนเกิดไฟป่าอย่างง่ายดาย
นักวิจัยเตือนว่า สิ่งที่ทุกประเทศทั่วโลกต้องทำ ไม่เพียงแต่ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการน้ำและน้ำท่วมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจัดการภัยพิบัติ การตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉิน และระบบสาธารณสุขที่ออกแบบมาเพื่อรองรับสถานการณ์สุดขั้วในศตวรรษที่ 20 อีกด้วย
การเตรียมความพร้อมยังต้องมีความเร่งด่วนมาก โดยเฉพาะในแอฟริกากลาง แอฟริกาเหนือ ตะวันออกกลาง และเอเชียใต้ เนื่องจากคาดการณ์ว่าเป็นพื้นที่ที่จะเผชิญ 'สภาพอากาศแปรปรวน' อย่างรุนแรง มีประชากรที่ได้รับผลกระทบจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรฐกิจอย่างร้ายแรง
ศาสตราจารย์ริชาร์ด อัลลัน จากมหาวิทยาลัยเรดดิ้ง ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า เราสามารถจำกัดความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นของสภาพอากาศร้อน แห้งแล้ง และชื้นแฉะ รวมถึงสภาวะที่เอื้อต่อการเกิดไฟป่าที่รุนแรงยิ่งขึ้นได้ โดยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกภาคส่วนของสังคมอย่างรวดเร็วเท่านั้น