โลกร้อนขึ้น 1 องศาเซลเซียส ทำมนุษย์อายุสั้นลงครึ่งปี
งานวิจัยหนึ่งเกี่ยวกับภาวะโลกร้อนเผยว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจทำให้อายุขัยของมนุษย์สั้นลงถึง 6 เดือนเลยทีเดียว
งานวิจัยเกี่ยวโลกร้อนทำให้มนุษย์อายุสั้นลง ได้รับการตีพิมพ์ใน PLOS Climate เตือนถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจทำให้อายุขัยเฉลี่ยของมนุษย์ลดลงหลายเดือน
โลกร้อนขึ้นทำให้มนุษย์อายุสั้นลง!
นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าปี 2023 เป็นปีที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ และผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าปี 2024 อาจจะร้อนกว่านี้อีก และยังเผยว่ากิจกรรมของมนุษย์กำลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สำคัญและรวดเร็วแบบที่โลกของเราไม่เคยประสบมาก่อน และเตือนว่าถึงแม้จะมีการดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อบรรเทาความเสียหาย แต่ผลกระทบจากโลกร้อนยังคงรออยู่ในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า
จากการวิจัยล่าสุด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสามารถลดอายุขัยของมนุษย์โดยเฉลี่ยสูงสุด 6 เดือน การค้นพบนี้เกิดขึ้นหลังจากเจาะลึกความเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างอุณหภูมิ ปริมาณน้ำฝน และอายุขัยใน 191 ประเทศและ 80 ปี ซึ่งทำให้เกิดข้อมูลใหม่เกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างวิกฤตสภาพภูมิอากาศและชีวิตมนุษย์
อุณหภูมิโลกสูงขึ้น 1 องศาฯ มนุษย์อาจอายุสั้นลง 6 เดือน
แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศถือเป็นเรื่องปกติและเป็นไปตามระบบนิเวศของดาวเคราะห์ แต่การปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมีเทน จะไปรบกวนวงจรธรรมชาติและเกิดการกักเก็บความร้อนภายในระบบดาวเคราะห์ ดังนั้นการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกได้ไปรบกวนรูปแบบภูมิอากาศและคุณลักษณะต่างๆ เช่น ปริมาณน้ำฝน ความแห้งแล้ง ปัญหาน้ำท่วม
อุณหภูมิที่สูงขึ้นและปริมาณน้ำฝน ทำให้เห็นภาพของปัญหาได้ละเอียดยิ่งขึ้น อุณหภูมิและปริมาณน้ำฝนมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความกังวลด้านสาธารณสุขหลายประการ ในขณะที่เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญสองประการของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเป็นปัจจัยที่มีประสิทธิภาพในการคำนวณดัชนีใหม่
อุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นเพียง 1 องศาเซลเซียส เชื่อมโยงกับอายุขัยเฉลี่ยที่ลดลงประมาณ 0.44 ปี หรือเทียบเท่ากับ 6 เดือนกับอีกหนึ่งสัปดาห์ หรือประมาณ 187 วัน ที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ การเพิ่มขึ้น 10 จุดในดัชนีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเชิงประกอบ ส่งผลให้อายุขัยลดลง 6 เดือนเช่นเดียวกัน
ผู้หญิงและประเทศกำลังพัฒนาอาจได้รับผลกระทบจากโลกร้อนมากที่สุด
การศึกษาเผยให้เห็นว่า ผู้หญิงและคนในประเทศที่กำลังพัฒนารับผลกระทบจากภาระจากระบบการรักษาพยาบาลที่เปราะบางอยู่แล้วและทรัพยากรที่จำกัด สิ่งนี้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการแก้ปัญหาที่เท่าเทียมและตรงเป้าหมายโดยให้ความสำคัญกับประชากรที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ควบคู่ไปกับการริเริ่มเชิงรุกเพื่อช่วยให้ชุมชนปรับตัวเข้ากับรูปแบบสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อสร้างภาพสถานการณ์ที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น นักวิจัยสนับสนุนการศึกษาเฉพาะที่เจาะลึกถึงผลกระทบของเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว ซึ่งรวมถึงเหตุการณ์ต่างๆ เช่น ไฟป่าและสึนามิที่ไม่ได้มีเหตุที่อุณหภูมิและปริมาณฝนเพียงอย่างเดียว
หากไม่มีการดำเนินแก้ไขที่จริงจังและรวดเร็วในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าเราจะข้ามจุดพลิกผันของดาวเคราะห์ซึ่งอาจไม่มีทางหวนกลับ จะเกิดสภาพอากาศสุดขั้ว เช่น พายุ ความแห้งแล้ง และอากาศหนาวเย็นจัด คาดว่าจะเพิ่มขึ้นความรุนแรงและความถี่มากขึ้น
ในขณะที่งานวิจัยจำนวนมากได้บันทึกผลกระทบด้านลบต่อสุขภาพหลายประการเกี่ยวกับ Climate Change รวมถึงอากาศร้อนที่มากขึ้นซึ่งอาจถึงแก่ชีวิต ความเสี่ยงของโรคระบาดใหม่ สภาพอากาศสุดขั้วมากขึ้น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และเพิ่มความเสี่ยงให้กับผู้ที่มีปัญหาด้านทางเดินหายใจและสุขภาพจิต รอยกล่าว ยังไม่มีใครมีความเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างปรากฏการณ์นี้กับอายุขัย
ภัยคุกคามระดับโลกที่เกิดจาก Climate Change ที่มีต่อความเป็นอยู่ที่ดีของผู้คนหลายพันล้านคน ตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการจัดการกับวิกฤตด้านสาธารณสุข นักวิจัยกล่าวว่า “ความพยายามในการบรรเทาผลกระทบเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการริเริ่มเชิงรุกถือเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องชีวิต และสุขภาพของประชากรทั่วโลก"
ที่มา : Forbes / Bussiness Insider
เนื้อหาที่น่าสนใจ :
