WMO เผย Climate Change ช่วง 50 ปี เกิดภัยพิบัติ 12,000 ครั้ง คร่าชีวิตกว่า 2 ล้าน

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หรือ WMO อัพเดทรายงานความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) พบว่าในช่วง 50 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ.1970-2021 เกิดสภาพอากาศรุนแรง ภัยพิบัติกว่า 12,000 ครั้ง ทำให้ผู้คนทั่วโลกเสียชีวิตไปกว่า 2 ล้านคน และยังสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจไปกว่า 4.3 ล้านล้านดอลลาร์ 

Petteri Taalas เลขาธิการองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก กล่าวว่า จากการเกิดพายุไซโคลนโมคา (Mocha) ที่พัดผ่านเข้าสู่ประเทศเมียนมาร์และบังกลาเทศ เป็นตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง และความเปราะบางของชุมชน ทำให้ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติในครั้งนี้เป็นจำนวนหลายพันคน

เนื้อหาที่น่าสนใจ :

• นิวยอร์กซิตี้กำลังจมน้ำ เพราะมีตึกมากเกินไป เสี่ยงน้ำท่วมใหญ่ จากโลกร้อน

• กทม. เสี่ยงเป็นเมืองใต้น้ำใน 50 ปี แนะทำคันกั้นน้ำ ปรับผังเมืองมีฟังก์ชั่น

• Red Code! อุณหภูมิโลกกำลังสูงขึ้น กทม.จะจมน้ำจริงไหม? Story of Green Ep.2

จากรายงานทางสถิติพบว่าภัยพิบัติเกือบ 1,500 ครั้งเกิดขึ้นทางตะวันตกเฉียงใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก มีผู้เสียชีวิต 66,951 ราย และความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 185.8 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่เอเชียเผชิญกับภัยธรรมชาติกว่า 3,600 ครั้ง ส่วนใหญ่เกิดจากพายุไซโคลน ทำให้มีผู้ชีวิตผู้คน 984,263 ราย และสูญเสียทางเศรษฐกิจมูลค่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ 

ส่วนในแอฟริกาเกิดภัยพิบัติกว่า 1,800 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตจากสภาพอากาศที่รุนแรง 733,585 คน ซึ่งพายุหมุนเขตร้อน Idai ที่เกิดในปี ค.ศ. 2019 สร้างความเสียหายมากสุดถึง 21,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่ง Petteri Taalas  เลขาธิการองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก กล่าวว่า การเตือนภัยล่วงหน้าเป็นทางที่ดีในการช่วยลดอัตราผูก้เสียชีวิตจากภัยพิบัติ

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก ( WMO) คาดการณ์ว่าภัยพิบัติในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมากและรุนแรงกว่าที่ผ่านมา เนื่องจากมีโอกาสเป็นไปได้กว่า 66% ที่อุณหภูมิโลกจะเพิ่มขึ้นจนเกินขีดจำกัดที่ 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเกินเกณฑ์ที่กำหนดไว้ตามข้อตกลงปารีส

ที่มา : NBC News / iGreen