svasdssvasds

วิกฤติอาหารโลก ปัญหากระทบห่วงโซ่ผลิตอาหารตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

วิกฤติอาหารโลก ปัญหากระทบห่วงโซ่ผลิตอาหารตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

วิกฤติอาหารโลก หรือ Global food crisis เป็นปัญหาที่เริ่มถูกพูดถึงมากขึ้นเนื่องจากมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งวิกฤติอาหารมีปัจจัยด้วยกันหลายสาเหตุ และผลกระทบยังส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตอาหารโลกตั้งแต่ระดับ ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอีกด้วย

หากใครอยากรู้ว่า วิกฤติอาหารโลก (Global food crisis) คืออะไร มีผลดีหรือผลเสียอย่างไร เรามีข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพานิชย์มาฝาก

วิกฤติอาหารโลก ปัญหากระทบห่วงโซ่ผลิตอาหารตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ปัจจุบันวิกฤติอาหารโลก (Global food crisis) มีแนวโน้มขยายวงกว้างและทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางความเสี่ยงด้านต่างๆ ในระบบนิเวศ ที่ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตอาหารในระดับต้นน้ำ ทั้งในส่วนของการทำเกษตรกรรมและปศุสัตว์ ระดับกลางน้ำอย่างการแปรรูปและผลิตอาหาร เรื่อยมาจนถึงปลายน้ำ อย่าง การค้าขายและขนส่งสินค้าต่อไปยังผู้บริโภคขั้นสุดท้ายในห่วงโซ่การผลิตอาหาร

วิกฤติการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในรอบนี้เปรียบเสมือนระเบิดเวลาและสัญญาณเตือนภัยครั้งใหญ่ที่ผู้คนทั่วโลกต้องตระหนักและเตรียมพร้อมรับมือ สอดคล้องกับรายงานของ Global Report on Food Crises ประจำปี 2022 ซึ่งระบุว่า ประชากรมากถึงเกือบ 193 ล้านคนใน 53 ประเทศทั่วโลก กำลังเผชิญกับปัญหาความไม่มั่นคงด้านอาหารอย่างเฉียบพลัน

จากการศึกษาข้อมูลพบว่าวิกฤติอาหารโลกรอบนี้เกิดจากสาเหตุหลัก 3 ประการ ได้แก่

1) การแพร่ระบาดของ COVID-19

2) สงครามรัสเซีย-ยูเครน

3) การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก

เนื้อหาที่น่าสนใจ : 

วิกฤติอาหารโลก ปัญหากระทบห่วงโซ่ผลิตอาหารตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การแพร่ระบาดของ COVID-19

การแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยน (Turning point) สำคัญที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นตัวเร่งที่เข้ามาเพิ่มแรงกดดันต่อวิกฤติความมั่นคงด้านอาหารที่มีอยู่ก่อนแล้วให้กลับยิ่งเลวร้ายลงไปอีก รวมทั้งยังส่งผลกระทบในวงกว้างต่ออุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มโลกทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน

สำหรับผลกระทบต่ออุปสงค์นั้น แม้ว่าโควิด-19 จะมีผลให้ความต้องการสินค้าอาหารและเครื่องดื่มบางประเภทปรับตัวลดลงโดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยที่ไม่ได้จำเป็นต่อการดำรงชีพและสินค้าที่มีราคาค่อนข้างแพง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ซบเซาและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง แต่ในขณะเดียวกันก็ส่งผลให้มีความต้องการสินค้าบางประเภทเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดปกติ เช่น น้ำดื่มบรรจุขวด น้ำผลไม้ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไข่ไก่ ข้าวสาร อาหารแช่แข็ง อาหารกระป๋อง อาหารแห้ง ผลไม้กระป๋อง ถั่วและผลไม้อบแห้ง ซีเรียล กาแฟสำเร็จรูป นมข้นหวาน รวมทั้งเครื่องปรุงรสและผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในประกอบอาหารต่างๆ เช่น น้ำมันพืช ซอสปรุงรสต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่จำเป็นในการดำรงชีพและสามารถเก็บไว้บริโภคได้นานโดยไม่เน่าเสียง่าย ส่งผลให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีการกักตุนสินค้าประเภทเหล่านี้ไว้สำหรับบริโภคภายในครัวเรือนในช่วงที่มีมาตรการล็อกดาวน์ส่งผลให้สินค้าอาหารและเครื่องดื่มบางประเภทขาดแคลนในระยะสั้นๆ

ขณะที่ด้านอุปทานเป็นผลกระทบต่อเนื่องที่มาจากการที่ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมอาหารโลกต้องสะดุดลง (Supply chain disruption) ซึ่งเป็นผลมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการปิดประเทศชั่วคราว มาตรการล็อกดาวน์ รวมทั้งการจำกัดการเดินทางหรือการเคลื่อนย้ายและขนส่งสินค้า วัตถุดิบ รวมทั้งแรงงานระหว่างประเทศหรือระหว่างเมือง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 จนนำไปสู่ปัญหาการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมการผลิตอาหาร

ตัวอย่างเช่นในกรณีของ “โค้ก ซีโร่” (Coke Zero) และ “ไดเอท โค้ก” (Diet Coke) ของ Coca-Cola ที่กระบวนการผลิตต้องสะดุดลงจนเสี่ยงสินค้าขาดตลาด โดยมีสาเหตุหลักมาจากความล่าช้าในการจัดส่งวัตถุดิบสำคัญ ได้แก่ สารให้ความหวานแทนน้ำตาล (Artificial sweeteners) จากซัพพลายเออร์ในประเทศจีน หรือในกรณีของอุตสาหกรรมแปรรูปเนื้อสัตว์หลายแห่งในสหรัฐฯ รวมทั้งโรงงานแปรรูปเนื้อหมูรายใหญ่ที่สุดในโลก อย่าง สมิธฟิลด์ ฟูดส์ ที่จำเป็นต้องประกาศหยุดผลิตอย่างไม่มีกำหนดในช่วงไตรมาสแรกปี 2020 (First wave) หลังจากตรวจพบผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในโรงงานกว่า 300 คน ซึ่งส่งผลกระทบค่อนข้างรุนแรงต่อผู้เล่นในห่วงโซ่การผลิตระดับต้นน้ำ อย่างฟาร์มปศุสัตว์ เนื่องจากเกษตรกรผู้เลี้ยงไม่สามารถส่งปศุสัตว์ในฟาร์มไปขายยังโรงฆ่าสัตว์ โรงงานแปรรูปและโรงงานบรรจุเนื้อสัตว์ได้ อันเป็นผลมาจากการหยุดกิจการชั่วคราว จนนำไปสู่ปัญหาอุปทานล้นตลาดและวิกฤติราคาเนื้อสัตว์ในสหรัฐฯ ที่ตกต่ำลงอย่างมากในที่สุด

วิกฤติอาหารโลก ปัญหากระทบห่วงโซ่ผลิตอาหารตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน

เนื่องจากสงคราวระว่างรัสเซียและยูเครน ที่ลากยาวมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2022 จนถึงปัจจุบันและยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงในเร็ววันนี้ ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่การผลิตอาหารโลก และทำให้ราคาอาหารพุ่งสูงขึ้นมากจากอุปทานที่หายไปจากตลาด เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศเป็นผู้ผลิตและส่งออกธัญพืชที่สำคัญของโลกหลายชนิด โดยรัสเซียเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่ที่สุดในตลาดโลก ขณะที่ยูเครนก็เป็นผู้ส่งออกธัญพืชรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ อาทิ น้ำมันดอกทานตะวัน (42%) ข้าวโพด (16%) ข้าวบาร์เลย์ (10%) และข้าวสาลี (9%) เป็นต้น

นอกจากนี้การสู้รบที่เกิดขึ้นยังทำให้ไม่สามารถเพาะปลูกหรือเก็บเกี่ยวผลผลิตในบางพื้นที่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ราคาปุ๋ยและเคมีภัณฑ์ทางการเกษตรต่างๆ ยังปรับตัวสูงขึ้นมากอีกด้วย เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ส่งออกวัตถุดิบสำหรับทำปุ๋ยเคมีรายใหญ่ของโลก ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป รวมทั้งผลิตภัณฑ์อาหารต่างๆ ซึ่งเป็นปลายน้ำของห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมอาหารแพงขึ้นตามไปด้วย

ภาวะสงครามที่ยื้ดเยื้อรวมทั้งความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มขยายวงกว้างขึ้น ยังส่งผลให้ประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารบางประเทศ ตัดสินใจดำเนินนโยบายระงับหรือจำกัดการส่งออกอาหารเป็นการชั่วคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตรที่เป็นอาหารพื้นฐาน (Staple food) ในการดำรงชีพและน้ำมันพืช เพื่อไม่ให้กระทบต่อความต้องการบริโภคภายในประเทศตนเอง อีกทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นคงด้านอาหารและสะสมสต็อกไว้เพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านต่างๆ ที่อาจเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต

จากข้อมูลล่าสุดของ International Food Policy Research Institute (IFPRI) วันที่ 4 ตุลาคม 2022 พบว่าปัจจุบันมีประเทศที่ระงับหรือจำกัดการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารรวมทั้งสิ้น 22 ประเทศ โดยครอบคลุมสินค้าอาหารพื้นฐานจำนวน 29 รายการ ตัวอย่างเช่น น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต ข้าวฟ่าง เส้นพาสต้า น้ำตาล ถั่วเหลือง ข้าวโพด ธัญพืชต่าง ๆ ผักผลไม้สดและแปรรูป เนื้อไก่ เนื้อวัว เป็นต้น

จากสถานการณ์สงครามส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนอาหารขึ้นในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่ไม่สามารถผลิตอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภคภายในประเทศตนเอง และจำเป็นต้องพึ่งการนำเข้าอาหารจากต่างประเทศในสัดส่วนที่สูง อาทิ ประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลางและทวีปแอฟริกา อีกทั้งยังกดดันให้ราคาอาหารในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอีกด้วย โดยจากข้อมูลพบว่าดัชนีราคาอาหารโลก (Global food price index) ขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations : FAO) ได้ทยอยปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2020 และได้พุ่งขึ้นไปแตะระดับ 159.7
ในเดือนมีนาคม 2022 หรือเพิ่มขึ้นราว 40%YOY ซึ่งนับเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 30 ปีอีกด้วย ซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้มีการปิดท่าเรือขนส่งสินค้าต่างๆ ของยูเครน สถานการณ์ดังกล่าวยิ่งเพิ่มแรงกดดัน
ต่ออัตราเงินเฟ้อและค่าใช้จ่ายด้านอาหารของครัวเรือนทั่วโลก และส่งผลให้วิกฤติความมั่นคงด้านอาหารยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น

วิกฤติอาหารโลก ปัญหากระทบห่วงโซ่ผลิตอาหารตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก (Climate change)

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่มีส่วนทำให้วิกฤติความมั่นคงด้านอาหารทั่วโลกมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเป็นผลจากสภาพภูมิอากาศโลกที่มีความผิดเพี้ยนจากปกติ รวมทั้งยังมีแนวโน้มเกิดถี่ขึ้นและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศแบบสุดขั้วทั้งร้อนจัดและหนาวจัด คลื่นความร้อน พายุไต้ฝุ่น รวมทั้งปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม รวมไปถึงเหตุการณ์ภัยพิบัติในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น ดินถล่ม ภูเขาไฟระเบิด รวมไปถึงแนวโน้มอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

วิกฤติอาหารโลก ปัญหากระทบห่วงโซ่ผลิตอาหารตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ปัญหา Climate Change ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเหมาะสมทางกายภาพในการทำเกษตรกรรม การทำฟาร์มปศุสัตว์ รวมทั้งยังมีผลต่อสภาพแวดล้อมโดยรวมในระบบนิเวศอีกด้วย และส่งผลกระทบต่อเนื่องให้ปริมาณผลผลิตทางการเกษตรของโลกโดยรวมมีแนวโน้มปรับลดลง 

แม้แต่ในกรณีของภาวะโลกร้อนที่ส่งผลให้อุณหภูมิของน้ำทะเลและแม่น้ำทั่วโลกอุ่นขึ้น และกลายเป็นความเสี่ยงที่อาจทำให้ปลาและสัตว์น้ำชนิดต่างๆ สูญพันธุ์ลง โดยข้อมูลจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และรายงานของกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมพบว่า บรรดาปลาสายพันธุ์ต่างๆ มีความเสี่ยงสูงมากจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะไข่ปลาและตัวอ่อนของปลาที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะโลกร้อนในมหาสมุทรมากเป็นพิเศษ

นอกจากนี้งานวิจัยชิ้นนี้ยังชี้ให้เห็นว่า ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเมื่ออุณหภูมิของโลกสูงขึ้นถึง 5 องศาเซลเซียสจากภาวะโลกร้อน จะส่งผลให้สายพันธุ์ปลาต่าง ๆ ทั่วโลกมากถึง 60% ไม่สามารถรับมือกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นได้และสูญพันธุ์ลงภายในปี 2100 หรืออีกเพียงแค่ราว 1 ชั่วอายุคน (78 ปี) ต่อจากนี้

วิกฤติอาหารโลก ปัญหากระทบห่วงโซ่ผลิตอาหารตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ วิกฤติอาหาร ไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะครัวของโลก 

จากการวิเคราะห์ของ EIC มองว่าการส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูปและอาหารของไทยน่าจะได้รับประโยชน์จากวิกฤติขาดแคลนอาหารที่เกิดขึ้น เนื่องจากไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าอาหารลำดับต้นๆ ของโลก และมีบทบาทสำคัญในฐานะครัวโลก (Kitchen of the world) อยู่แล้ว เนื่องจากมีผลผลิตทางการเกษตรที่หลากหลายและมีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก อีกทั้งยังสามารถผลิตได้ในปริมาณที่มากเพียงพอสำหรับการบริโภคภายในประเทศและส่งออก ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตรที่เป็นพืชอาหารสำคัญ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง น้ำตาล ซึ่งไทยเป็นผู้นำหรือผู้ส่งออกลำดับต้นๆ ในตลาดโลกอยู่แล้ว รวมทั้งผลไม้สด อย่างทุเรียน หรือสินค้าเกษตรและประมงแปรรูปอย่างสับปะรดกระป๋องและทูน่ากระป๋อง ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพทางการแข่งขันและครองตำแหน่งผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลกมาอย่างยาวนาน

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งได้มีส่วนช่วยผลักดันให้การส่งออกสินค้าเกษตรของไทยบางตัวปรับตัวดีขึ้นจากปกติค่อนข้างมาก อย่าง ปริมาณการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบของไทยในช่วงเดือน เม.ย.-ก.ย. 22 ที่ปรับเพิ่มขึ้นถึง 37.7%YOY ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับอานิสงส์จากการส่งออกไปเพื่อทดแทนการส่งออกน้ำมันดอกทานตะวันจากยูเครนและรัสเซียที่หายไปจากตลาด ซึ่งทั้งสองประเทศถือเป็น Supplier หลักของน้ำมันดอกทานตะวันในตลาดโลก โดยมีปริมาณส่งออกรวมกันมากถึงกว่า 60% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด

นอกจากนี้การส่งออกที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวยังได้รับปัจจัยหนุนเพิ่มเติมจากนโยบายระงับการส่งออกน้ำมันปาล์มชั่วคราวเป็นระยะเวลาราว 1 เดือน (เมษายน-พฤษภาคม 2022) ของอินโดนีเซียเพื่อกักตุนน้ำมันปาล์มไว้ใช้เองในประเทศ รวมไปถึงปัญหาขาดแคลนแรงงานในสวนปาล์มของมาเลเซีย ซึ่งอุปสงค์
ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวยังช่วยหนุนให้ราคาส่งออกน้ำมันปาล์มดิบในช่วงเวลาดังกล่าวปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย

เหรียญย่อมมีสองด้าน

ในทางกลับกันวิกฤติความมั่นคงด้านอาหารโลกที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น กำลังกลายเป็นความเสี่ยงในระยะยาวสำหรับประเทศผู้ส่งออกอาหารอย่างไทย แม้ว่าในระยะสั้นไทยจะได้ร้บอานิสงส์จากการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าความกังวลเกี่ยวกับเรื่อง Food security ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก กำลังกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ประเทศต่างๆ หันมาตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้และมีความพยายามที่จะพึ่งพาตนเอง (Self-reliance) ด้านอาหารมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาการนำเข้าอาหารจากต่างประเทศท่ามกลางความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่สูงขึ้น  

โดยได้เริ่มมีการวาง Roadmap ในเรื่องนโยบายความมั่นคงด้านอาหารกันอย่างจริงจังมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการพื้นที่ทำเกษตรกรรมและการทำฟาร์มปศุสัตว์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้ในภาคเกษตร เพื่อเอาชนะข้อจำกัดทางธรรมชาติและอุปสรรคต่างๆ

วิกฤติอาหารโลก ปัญหากระทบห่วงโซ่ผลิตอาหารตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

นโยบายความมั่นคงด้านอาหาร ของจีน แบบอย่างที่น่าสนใจ

 

ปัจจุบันจีนยังเร่งสยายปีกการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารในต่างประเทศอีกด้วย ผ่านการควบรวมธุรกิจด้านการเกษตรระดับโลก ตั้งแต่การกว้านซื้อที่ดิน โกดังเก็บธัญพืช รวมทั้งโรงงานแปรรูปอาหารหลายแห่งในหลายภูมิภาคทั่วโลก ตัวอย่างเช่น Shuanghui International Holding ที่เข้าซื้อกิจการของบริษัท Smithfield Foods ซึ่งเป็นบริษัทแปรรูปเนื้อหมูรายใหญ่ที่สุดของโลกสัญชาติสหรัฐฯ เมื่อ 9 ปีก่อน ซึ่งนับเป็นข้อตกลงการซื้อกิจการของสหรัฐฯ โดยบริษัทจีนที่มีมูลค่าสูงสุดในประวัติศาสตร์โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารด้านโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ท่ามกลางความต้องการบริโภคของประชากรในประเทศโดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐวิสาหกิจของจีนเองอย่าง COFCO Group ก็มีการขยายการลงทุนด้านการเกษตรไปทั่วโลกนับตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา ไม่ว่าจะเป็นการไล่ซื้อบริษัทธัญพืชข้ามชาติหลายแห่ง อาทิ Nobel Agri บริษัทด้านการเกษตร
ในฮ่องกง และ Nidera ผู้ค้าเมล็ดพืชสัญชาติดัตช์ รวมทั้งยังได้เข้าซื้อบริษัทไวน์ของชิลีอย่าง Bisquertt Vineyard และบริษัทไวน์ฝรั่งเศส Chateau de Viaud รวมถึงซื้อหุ้น 80% ในบริษัท Tully Sugar ผู้ผลิตน้ำตาลของออสเตรเลีย และเข้าซื้อกิจการของธุรกิจค้าธัญพืชของ Criddle & Co. ในอังกฤษ รวมทั้งยังเป็นเจ้าของท่าเรือและโกดังเก็บธัญพืชหลักทั่วโลกมากกว่า 100 ล้านตันต่อปี ทำให้ COFCO Group กลายเป็นผู้ส่งออกธัญพืชจากอาร์เจนตินารายใหญ่ที่สุด รวมถึงเป็นผู้ส่งออกถั่วเหลืองรายใหญ่ที่สุดในบราซิลอีกด้วย โดยเราเชื่อว่ากลยุทธ์การสร้างความมั่นคงด้านอาหารแบบ Inorganic growth นี้จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต

อีกหนึ่งกลยุทธ์ในการสร้างความมั่นคงด้านอาหารของทางการจีนที่มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง คือความร่วมมือภายใต้โครงการด้านการเกษตรระหว่างรัฐบาลจีนและรัฐบาลอียิปต์ในปี 2017 โดยการใช้ Greenhouse technologies
เพื่อพลิกฟื้นพื้นที่ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศแห้งแล้งอย่างทะเลทรายของอียิปต์ให้กลายเป็น “พื้นที่สีเขียว” ที่สามารถทำประโยชน์ในเชิงเกษตรกรรมได้ เพื่อมุ่งพัฒนาให้ภาคเกษตรกรรมของอียิปต์ก้าวไปสู่การเกษตรยุคใหม่ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยได้มีการก่อสร้างโรงเรือนกระจก หรือ Greenhouse ขนาดใหญ่จำนวน 600 หลังบนพื้นที่ขนาด 6,250 ไร่ กลางทะเลทรายเพื่อปลูกพืชผักและผลไม้ โดยที่วัสดุและอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการก่อสร้างทั้งหมด รวมทั้งช่างเทคนิคที่เกี่ยวข้องล้วนถูกส่งตรงมาจากจีนทั้งสิ้น ซึ่งถือเป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ (Paradigm shift) ในการเอาชนะธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยอาศัยความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นกุญแจสำคัญ

วิกฤติอาหารโลก ปัญหากระทบห่วงโซ่ผลิตอาหารตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ EIC มองว่าการดำเนินนโยบายเรื่องความมั่นคงด้านอาหารเชิงรุกของคู่ค้าอย่างจีน ถือเป็นความเสี่ยงที่สำคัญต่อแนวโน้มการส่งออกสินค้าในกลุ่มธัญพืช พืชอาหาร ผลไม้ เนื้อสัตว์ รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารของไทยในระยะยาว เนื่องจากจีนมีแนวโน้มที่จะนำเข้าสินค้าดังกล่าวลดลงอย่างต่อเนื่อง และหันไปพึ่งพาผลผลิตภายในประเทศมากขึ้น หรือนำเข้าจากพันธมิตรทางธุรกิจของตนเองในต่างประเทศแทน ซึ่งจะทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าในกลุ่มพืชอาหาร เกษตรแปรรูป และอาหารของไทยไปยังตลาดจีนทยอยปรับลดลงตามไปด้วย เนื่องจากจีนเป็นคู่ค้าหลักของไทยในสินค้าอาหารหลายชนิด อาทิ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง รวมทั้งผลไม้สดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุเรียนและลำไย เป็นต้น

ภายใต้บริบทแวดล้อมต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น คือจุดเปลี่ยนที่น่าจับตามองของการทำเกษตรกรรมในโลกแห่งอนาคต และกำลังมีส่วนสั่นคลอนบทบาทของไทยในฐานะประเทศผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลก เพราะโมเดลการเติบโตของธุรกิจการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารในอนาคตกำลังถูกขับเคลื่อนโดยอาศัยความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีเป็นตัวนำร่อง ไม่ใช่จากความโชคดีของทำเลที่ตั้งทางกายภาพของประเทศและความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติแบบในน้ำมีปลาในนามีข้าวเหมือนในอดีตอีกต่อไปแล้ว

ดังนั้นการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเกษตรที่ทันสมัยและนำมาปรับใช้อย่างเหมาะสมจึงเป็นทั้งทางเลือกและทางรอดที่ไทยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวอย่างเช่น การนำเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบเซ็นเซอร์มาปรับใช้อย่างเหมาะสมเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ (Yield) และลดต้นทุน รวมถึงการมุ่งไปสู่การเกษตรแบบแม่นยำสูง (Precision agriculture) โดยเริ่มต้นตั้งแต่การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่ รวมไปถึงการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยในกระบวนการเพาะปลูก อย่าง การเก็บข้อมูลระยะใกล้จากเซ็นเซอร์ที่ใช้วัดสภาพดิน ความชื้น แร่ธาตุ ความเป็นกรดเป็นด่าง และค่าต่างๆ ในแปลงเพาะปลูก รวมไปถึงระบบสั่งการและควบคุมการให้น้ำหรือให้ปุ๋ยแบบอัตโนมัติ หรือแม้แต่การเก็บข้อมูลระยะกลางจากกล้องที่ติดกับโดรนและการเก็บข้อมูลระยะไกลจากภาพถ่ายดาวเทียม รวมทั้งการวิเคราะห์และใช้ประโยชน์

จากข้อมูลขนาดใหญ่หรือ Big data เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาช่วยวิเคราะห์และระบุสภาพพื้นที่เพาะปลูก ชนิดพืช สถานะการเจริญเติบโต และปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างละเอียดถึงระดับแปลงเพาะปลูกของเกษตรกร นอกจากนี้ การทำการเกษตรภายในสิ่งปลูกสร้างอย่าง Indoor farming หรือ Vertical farming เพื่อควบคุมสภาวะแวดล้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผลผลิตทางการเกษตรที่มีราคาสูง ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจภายใต้ข้อจำกัดในเรื่องพื้นที่เพาะปลูกและความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกที่มีแนวโน้มผิดเพี้ยนและรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ  

อย่างไรก็ดี ประเด็นดังกล่าวนี้ถือเป็นสิ่งที่มีความท้าทายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับการปรับตัวของเกษตรกรรายย่อยที่มีเงินทุนไม่มากนัก และกลายเป็นข้อจำกัดสำคัญในการเข้าถึงเทคโนโลยีที่มีต้นทุนสูง ซึ่งจากการศึกษาข้อมูล
ในต่างประเทศพบว่า ปัจจุบันได้มีการนำระบบแพลตฟอร์มเข้ามาช่วยให้เกษตรกรรายย่อยได้ประโยชน์จาก Economies of scale โดยการแบ่งปันทรัพยากรระหว่างกันเองอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจับคู่เกษตรกรที่มีเครื่องจักรกลทางการเกษตรหรือโดรนให้เช่า กับเกษตรกรผู้อยากเช่าเครื่องจักรกลเหล่านี้เพื่อสร้างระบบตลาดเช่าที่สมบูรณ์ หรือการระดมทุนเพื่อซื้อเทคโนโลยีทางการเกษตรที่มีราคาสูงด้วยวิธี Crowdsourcing ซึ่งเป็นหนึ่งในช่องทางที่สามารถช่วยปลดล็อกการเข้าถึงเครื่องจักรกลสมัยใหม่และเทคโนโลยีทางการเกษตรของเกษตรกรรายย่อยในหลายประเทศและเป็นสิ่งที่ไทยอาจพิจารณานำมาปรับใช้ได้เช่นเดียวกัน

ขณะเดียวกันผู้ประกอบการไทยควรมองหาโอกาสทางธุรกิจเพื่อเชื่อมโยงเข้าเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่มูลค่าเพิ่มในตลาดโลกที่กำลังเปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศคู่ค้าที่มีศักยภาพในการพัฒนาด้านเกษตรกรรมอย่างจีน เพื่อรองรับกับความท้าทายด้านต่างๆ จากการที่จีนจะกลายมาเป็นคู่แข่งกับไทยในอนาคต รวมไปถึงการแสวงหาตลาดส่งออกสินค้าเกษตรและสินค้าอาหารใหม่ๆ เพื่อขยายฐานผู้บริโภคและกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดส่งออกเดิม ซึ่งประเด็นเหล่านี้เป็นสิ่งที่ภาครัฐและผู้ประกอบการไทยไม่ควรมองข้ามและต้องเตรียมรับมือไว้แต่เนิ่น ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทย และขับเคลื่อนไปสู่การพัฒนาสินค้าเกษตรและอาหารเชิงนวัตกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้นให้กับระบบเศรษฐกิจที่สอดรับกับยุทธศาสตร์การเติบโตแบบ Value-based economy ของไทย

Cr. Economic Intelligence Center (EIC)