องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก เตรียมลงนามร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯ ตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต เพื่อเป้าหมายไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ ตามที่นายกฯ ได้ไปประกาศไว้ในเวที COP26
ในงานสัมมนา NEW ENERGY “แผนพลังงานชาติ สู่ความยั่งยืน” จัดโดยฐานเศรษฐกิจ เกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. กล่าวในช่วงเสวนาหัวข้อ “โอกาสประเทศไทย กับการพัฒนาพลังงานสะอาด” ว่า องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกมีหน้าที่ผลักดันให้เกิดโครงการดี ๆ ในการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศให้เป็นศูนย์ (ปี 2065) ตามที่นายกรัฐมนตรีของไทยได้ไปประกาศไว้ในเวที COP26
ทั้งนี้โรดแม็ปของโลกกำลังมุ่งสู่การลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งก๊าซเรือนกระจกของโลกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่ม 1 คือการปล่อยปกติ และกลุ่ม 2 คือตัวดูด (ก๊าซ) ซึ่งขณะนี้ตัวปล่อยมากกว่าตัวดูด ซึ่งปัจจุบันไทยปล่อยอยู่ประมาณ 5 หมื่นล้านตันต่อปี ยังเหลือที่ยังปล่อยได้อีกประมาณ 500 กิ๊กกะตันที่ยังมีอยู่ หากปล่อยมากกว่านี้อุณหภูมิโลกกจะสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเราต้องเดินตามนี้ คือเศรษฐกิจก็ต้องเติบโต การปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็ต้องลดลง โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงานที่เป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด
บทความที่น่าสนใจ
สภาอุตสาหกรรมฯ แนะ ต้องปรับแผน PDP ให้เท่าทันสถานการณ์ มีความยืดหยุ่น
ปตท. มุ่งพัฒนา นวัตกรรมสร้างพลังงานทดแทน ที่จะกลายเป็นเทรนด์แห่งอนาคต
งานสัมมนา “New Energy : แผนพลังงานชาติ สู่ความยั่งยืน” ทิศทางอนาคตพลังงานไทย
อย่างไรก็ดีเราไม่สามารถที่จะไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ แต่ต้องมีการกักเก็บควบคู่กันไป ที่ง่ายที่สุดคือการปลูกต้นไม้เพื่อดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต้องส่งเสริม และไทยก็มียุทธศาสตร์ในเรื่องนี้ แต่หากไม่ปลูกต้นไม้ก็ต้องใช้ CCS (การใช้เทคโนโลยี/นวัตกรรมเพื่อช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์)
สำหรับจุดแข็งของไทยหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย การลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จำเป็นที่ต้องลดในจุดที่เรามีศักยภาพสูงสุดและมีต้นทุนต่ำ และต้องทำให้ค่าไฟฟ้าและค่าพลังงานของต้องแข่งขันได้ด้วย เช่น การจัดการขยะ เศรษฐกิจหมุนเวียน เมื่อต้นทุนต่ำลงก็จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
“ในส่วนของ อบก.เป็นองค์กรหลักในการควบคุม หรือกำกับดูแลมาตรฐานการประเมิน การส่งเสริมให้เกิดอีโค-ซิสเต็ม (ระบบนิเวศ) ในการลดก๊าซเรือนกระจก วันนี้ทั่วโลกเห็นแล้วว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นปัญหา และพยายามกดดันให้ผู้ปล่อยจะต้องรับผิดชอบ ส่งเสริมให้มีการลด โดยการใช้กฎหมายบังคับ เรื่องของการเสียภาษี มีการรายงาน และมีการรวมกลุ่มกันเพื่อลดต้นขององค์กรที่ยังต้องปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงอยู่”
โดยสหภาพยุโรป (อียู) เป็นผู้นำในการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยการสร้างกฎหมาย และอื่นๆ ในการนำไปสู่การลดคาร์บอนด้วยต้นทุนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด อย่างไรก็ดีก็เป็นโอกาสของโลว์คาร์บอนโปรเจ็กต์ ดีเวลล็อปเปอร์ หรือองค์กรใหม่ ๆ ที่อยากเชิญชวนมาคิดมาทำและสร้างโปรเจ็กต์ใหม่ๆ รวมถึงบริษัทใหญ่ๆ ที่แตกบริษัทลูกออกมาทำด้วย ตรงนี้ถือเป็นโอกาสของไทยและของโลกด้วยในเรื่องกรีนโปรเจ็กต์ เรื่องป่า เรื่องเกษตร ซึ่งเป็นโอกาสที่จะลงทุนทั้งนั้น
“ถ้าเราสามารถสร้างอีโค-ซิสเต็มให้ 2 คนมีประโยชน์ร่วม คือ ฝั่งที่จะต้องลดการปล่อยก๊าซก็จะต้องรับผิดชอบมากขึ้น ซึ่งมีทั้งกฎหมาย และอื่นๆ และการแลกเปลี่ยนความสำเร็จของการลดก๊าซเรือนกระจก หรือกลไกตลาด โดยการซื้อขายคาร์บอนเครดิตเพื่อแลกเปลี่ยนกันระหว่างคนที่ปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์เยอะ กับคนที่สามารถสร้างอีโคซิสเต็มได้ราคาถูก เกิดการซื้อขายตลาดคาร์บอน”
นายเกียรติชาย กล่าวอีกว่า ขณะนี้ 271 องค์กรได้รวมตัวกันที่เรียกว่า Carbon Neutral Network กลุ่มนี้พยายามร่วมมือกันในการดูแลเกี่ยวกับต้นทุน ขณะนี้เดียวกันก็มีองค์กรใหม่ตั้งสตาร์จอัพ หรือการลงทุนใหม่เพื่อมุ่งสู่พลังงานสะอาด และสร้างเครดิตเพื่อไปขายให้กับองค์กรขนาดใหญ่เฉพาะอย่างยิ่งโปรเจ็กต์ป่าไม้ซึ่งสามารถดูดซับคาร์บอนได้ดีที่สุด เสริมกับการใช้พลังงานสะอาดจะทำให้ไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนได้
ในส่วนของตลาดกลางคาร์บอนของประเทศไทย ขณะนี้ผู้ประกอบการตื่นตัวมาก โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่ผ่านมาที่ อบก.ได้ตั้งเครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลประเทศไทย หรือ Thailand Carbon Neutral Network (เครือข่ายนี้จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับเป้าหมายของประชาคมโลกในการรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส)
ล่าสุดมีผู้เข้าร่วม 271 องค์กร ซึ่งตั้งเป้าอยากให้มีผู้เข้าร่วมไม่น้อยกว่า 300 องค์กร เพื่อสร้างแรงจูงใจในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเพื่อการปรับตัวเพื่อให้มีต้นทุนต่ำสุด ส่วนองค์กรขนาดเล็กที่พร้อมจะลงทุนด้านการปลูกป่าก็สนใจเรื่องการเครดิตจำนวนมาก โดยในปีที่ผ่านมาเราได้คาร์บอนเครดิตประมาณ 4 ล้านตัน
สุดท้ายนี้ เกียรติชาย ระบุว่า “ล่าสุดวันที่ 21 ก.ย.นี้ เรากำลังจะลงนามกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยในการทำตลาดเทรดดิ้งขึ้นมาอย่างเป็นทางการ เพื่อพยายามให้คนมาซื้อขาย (คาร์บอนเครดิต) กันมากขึ้น ซึ่งเรื่องมาตรฐาน เรื่องตลาดเราพยายามสร้างให้เร็วและให้มีมากขึ้น มีคนมาทำโปรเจ็กต์มากขึ้น เราพยายามทำอีโคซิสเต็มให้คนมาเทรด และสุดท้ายคือการพัฒนาตัวระบบมาตรฐานให้เป็นระดับโลกเพื่อให้แลกเปลี่ยนกับประเทศอื่นได้ เช่น สวิตเซอร์แลนด์ ที่ได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันแล้ว”
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ