ลำน้ำมรณะ แม่น้ำโอเดอร์ ปลาตายนับแสนตัว

แม่น้ำโอเดอร์ (River Oder) แม่น้ำสายสำคัญซึ่งทำหน้าที่เป็นเส้นแบ่งเขตแดนตามทางธรรมชาติระหว่างประเทศเยอรมนีกับโปแลนด์ออกจากกัน

แต่ตอนนี้กลับเป็นน้ำเสียที่ส่งกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียนออกมา พร้อมกับปลานับแสนตัวน้ำหนักรวมกว่าหลายร้อยตันในแม่น้ำโอเดอร์กำลังทยอยตายกันอย่างต่อเนื่อง

แม้ทั้งสองประเทศจะเร่งส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบมาหลายสัปดาห์ แต่เหล่าผู้เชี่ยวชาญกลับอับจนปัญญาและไม่สามารถระบุได้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

เจ้าหน้าที่รายหนึ่งที่ปฏิบัติการอยู่ใกล้เมืองสเกซซีน (Szczecin) เดินลุยแม่น้ำในขณะที่ยกถังน้ำซึ่งเต็มไปด้วยซากปลาที่ตายแล้วแม่น้ำโอเดอร์ วางปลาไว้บนเรือและบนผ้าใบที่ทอดยาวไปตามริมฝั่งแม่น้ำ ระบุว่า "ตอนนี้ผมรู้สึกชา" ในท่าทีที่เศร้าสร้อย

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :

• โปแลนด์เผย สาหร่ายสีทอง อาจเป็นต้นเหตุปลาตายเกลื่อนแม่น้ำ
• พลังงานแสงอาทิตย์เฟื่องฟูในเยอรมนี เหตุสงครามรัสเซีย - ยูเครน
• คลื่นความร้อนในจีน ทำสิ่งปลูกสร้างโบราณ โผล่กลางทะเลสาบโผหยาง
• ปลาตายนับแสนตัว! ลอยเกลื่อนนอกชายฝั่งฝรั่งเศส คาดเรือประมงอาจจงใจทิ้ง

นักวิทยาศาสตร์สงสัยว่ามีใครบางคนทำให้น้ำเสียด้วยสารที่ดูเหมือนจะทำให้ระดับเกลือสูงขึ้น ซึ่งนั่นทำให้สาหร่ายสีทองเจริญงอกงาม และปล่อยสารพิษออกมาฆ่าปลา ประกอบกับซากปลาที่เน่าเปื่อยยิ่งทำให้คุณภาพน้ำลดลงไปอีก

ปฏิกิริยาลูกโซ่เคมีที่อันตรายถึงตาย อาจรุนแรงขึ้นโดยฤดูร้อนที่ร้อนและระดับแม่น้ำต่ำ

อังเดรซ์ คาพูซต้า (Andrzej Kapusta) จากสถาบันประมงน้ำจืด (Inland Fisheries Institute) กล่าวว่า "เป็นการยากที่จะได้คำตอบที่ชัดเจนถึงสาเหตุ เราร่วมกับเขาและทีมของเขาบนเรือลำเล็กขณะที่พวกเขาทดสอบน้ำในโอเดอร์

"ภัยพิบัติทางนิเวศวิทยาครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโปแลนด์ เป็นภัยพิบัติ เราไม่เคยพบสิ่งมีชีวิตที่ตายมากมายขนาดนี้มาก่อน ทั้งปลา หอย หรือหอยทากที่ตายไปแล้วมากมาย เกิดขึ้นครั้งแรกและเป็นคำเตือนที่ร้ายแรง" คาพูซต้า กล่าว

อีวา สเตอร์นอล (Ewa Sternal) ผู้บริหารท่าเรือที่อยู่ต้นแม่น้ำโอเดอร์ออกไปไกลอีกหลายร้อยไมล์ ใกล้กับเมืองกลีวิเซ (Gliwice) ได้ใช้ปั้นจั่นย้ายภาชนะโลหะขนาดใหญ่ใกล้กับกองถ่านหินบนฝั่งตรงข้าม ขณะที่เธออธิบายว่าน้ำที่นี่ไหลผ่านจากคลองกลิวิเซไปยังแม่น้ำโอเดอร์

โดยผู้คนที่นี่รายงานครั้งแรกตั้งแต่เดือน มี.ค. ว่า สีน้ำเปลี่ยนไป และปลากำลังจะตาย

อีวา อธิบายว่า ปลาดูเหมือนพยายามจะออกจากท่าเรือ แล้วมารวมตัวกันใกล้ทางเข้า ในท่าทีที่ "หายใจหอบ เหมือนกำลังหาออกซิเจน" และมันเกิดขึ้นอีกครั้งในเดือน มิ.ย.

"สัญญาณและร่องรอยทั้งหมดที่ฉันเดินตามทำให้ฉันสรุปได้ว่ามลพิษได้ลงสู่น้ำโดยตรงที่นี่ ฉันพูดคุยกับคนจำนวนมาก ทำการสัมภาษณ์ ข้อสรุปของฉันคือมีคนทิ้งสารเคมีลงในท่าเรือ" อีวา กล่าว

แต่ใคร? ความสงสัยลดลง ยังไม่มีหลักฐานใด ๆ เกี่ยวกับอุตสาหกรรมของโปแลนด์และเหมืองในโปแลนด์

ตำรวจสอบปากคำพยานมากกว่า 200 คนและสอบสวน 12 แห่ง รวมถึงตั้งรางวัลมากกว่า 200,000 ยูโร (7.21 ล้านบาท) สำหรับข้อมูลที่นำไปสู่การจับกุมผู้กระทำความผิดยังคงไม่มีการอ้างสิทธิ์

เหล่าชาวประมงที่อยู่ใกล้กับเมืองกลีวิเซ เผยว่า พวกเขาเห็นปลาตายในเดือน มี.ค. ด้วย และต่างสงสัยว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้จะถูกจับได้ หรือไม่

"ใครบางคนต้องรับผิดชอบ ต้องโดนลงโทษ แต่เราคงไม่มีวันรู้หรอกว่าใคร" ชาวประมงรายหนึ่งกล่าว

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สืบสวนได้ค้นพบท่อส่งน้ำออกที่ไม่ได้ลงทะเบียนเกือบ 300 ท่อ และกำลังตรวจสอบท่อเกือบ 60 ท่อที่เกี่ยวข้องกับการตายของปลา

อังเดรซ์ คาพูซต้า กล่าวว่า สิ่งสำคัญคือต้องทบทวนวิธีการใช้แม่น้ำ น่าเป็นห่วงที่พวกเขาเตือนว่าอาจเกิดขึ้นอีกครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่ไม่ทราบแหล่งที่มาของมลพิษเดิม

"เราต้องการระบบการตรวจสอบที่แม่นยำ การตรวจสอบออนไลน์ที่จะแจ้งหน่วยงานที่เพียงพอได้รวดเร็วยิ่งขึ้น จำเป็นต้องมีการตอบสนองที่รวดเร็วยิ่งขึ้นเพื่อป้องกันภัยพิบัติดังกล่าว" คาพูซต้า กล่าว

ในขณะเดียวกันฝูงปลายังทยอยเสียชีวิตอย่างต่อเนื่อง ซากปลาเหล่านี้ถูกรวบรวมแล้วนำส่งไปเผาต่อ

ขณะที่คนงานใกล้เมืองชเตชชินลากปลาคาร์พและปลาดุกที่ตายแล้วขนาดใหญ่ออกจากแม่น้ำ ปั๊มสูบน้ำจะทำงานด้วยความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะดึงออกซิเจนลงไปในน้ำ จากที่นี่แม่น้ำจะไหลลงสู่ทะเลสาบและเข้าสู่ทะเลบอลติก (Baltic Sea)

หวังว่าปริมาณน้ำในปริมาณที่มากหมายถึงสารพิษจะถูกเจือจาง แต่มีความกังวลว่าสิ่งที่บางคนในที่นี้เรียกว่า "คลื่นพิษ" จะยังคงดำเนินต่อไปตามกระแสน้ำ

ลูคัส พอตคันสกี้ (Lukas Potkanski) จากสมาคมชาวประมงแห่งโปแลนด์ กล่าวว่า "ตอนนี้เราต้องรอจนกว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดจะจบลง" "น้ำที่มีพิษมากที่สุดต้องไหลลงมาผสมกับน้ำที่ดีต่อสุขภาพ"

ลูคัสชี้ไปที่ซากศพของปลาคาร์พและปลาดุก และบอกเราว่าปลาที่ฟื้นขึ้นมาที่นี่บางครั้งมีอายุ 20 หรือ 30 ปี และเชื่อว่า ชีวิตจะกลับสู่แม่น้ำโอเดอร์อีกครั้ง เพียงแต่ต้องใช้เวลาหลายปีหรือหลายสิบปีกว่าที่สุขภาพของแม่น้ำจะฟื้นตัวเต็มที่