"วราวุธ" ร่วมวางศิลาฤกษ์ โครงการสร้างสวนรุกขชาติไทล-ลาว ที่นครเวียงจันทน์ พร้อมแลกเปลี่ยนความร่วมมือเชื่อมสัมพันธ์เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนและหนุน BCG Model
วันที่ 21 ธันวาคม 2565 ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และคณะ หารือข้อราชการกับ นางบุนคำ วอละจิด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สปป.ลาว
โดยเป็นการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นมาตรการและความร่วมมือให้ประชาชนของ 2 ประเทศ เกิดความตระหนักรู้ และตื่นตัวกับปัญหาโลกร้อน และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และหารือความร่วมมือการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว หรือ BCG Model ที่ประเทศไทยได้ดำเนินการในส่วนที่มีความสำคัญไปแล้วทุกด้าน และเชื่อว่าการประชุมร่วมกันครั้งนี้จะทำให้การทำงานของ 2 ประเทศ เป็นไปอย่างราบรื่น และแนบแน่นมากยิ่งขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
วราวุธสั่งการ อุทยานแห่งชาติ 155 แห่ง เตรียมรับนักท่องเที่ยวช่วงปีใหม่
“วราวุธ” รับข้อเสนอภาคปชช. สร้างความร่วมมือเพื่อรับมือ Climate Change
"วราวุธ" ชวนผู้บริหารกระทรวงฯ ขึ้นรถไฟฟ้าลดโลกร้อน-ลดใช้ถุงพลาสติก
วราวุธ ตั้งเป้าเร่งผลักดันป่าเศรษฐกิจ เพิ่มการดูดซับก๊าซคาร์บอนฯ
วราวุธ เตรียมแจกงาน จากเวที COP27 ย้ำทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน
จากนั้น นายวราวุธ และคณะ ได้ร่วมพิธีวางศิลาฤกษ์ โครงการสร้างสวนรุกขชาติไทย – ลาว ณ โรงเรียนมัธยมสมบูนนาซอน บ้านนาซอน เมืองปากงึม นครหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างไทย - ลาว พ.ศ. 2561 – 2564 โดยทั้ง 2 ประเทศได้ให้ความเห็นชอบร่วมกันเมื่อปี 2560 และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการ เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา
ขณะที่ฝั่งประเทศไทย ได้ดำเนินการจัดสร้างสวนรุกขชาติ 60 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – ลาว ไปแล้ว เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2557 ที่บ้านหนองกอมเกาะ อ.เมืองหนองคาย จ.หนองคาย บนพื้นที่ถึง 60 ไร่ เป็นหนองน้ำธรรมชาติ 40 ไร่ และมีการปลูกพันธุ์ไม้นานาชนิด เช่น สะเดา คูณ ประดู่ ยางนา โสกเขา กันเกรา แคนา บุนนาค จำปี เพื่อใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านพฤกษศาสตร์ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้กับประชาชน
นายวราวุธ กล่าวแสดงความยินดี ในความร่วมมือระหว่างกัน และถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ที่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมาย ภายใต้บันทึกความเข้าใจของ 2 ประเทศ เชื่อว่าผลสำเร็จนี้จะนำไปสู่การสานต่อความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม ในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ดูแลทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพ ก่อให้เกิดประโยชน์กับชุมชน และประชาชน ทั้ง 2 ประเทศ
อีกทั้งยังระบุว่าโครงการที่เกิดขึ้นจะเป็นแบบอย่าง ที่จะผลักดันไปยังกิจกรรมและความร่วมมืออื่น ๆ อีกหลายด้าน เช่น การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน การวางแผนป้องกันและควบคุมมลพิษทางอากาศและทางน้ำ การจัดการสารเคมีและของเสียอันตราย การรับมือความเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกัน
นอกจากนี้ทั้ง 2 ประเทศ ยังมีความยินดีที่จะริเริ่มจัดทำบันทึกความร่วมมือระหว่างองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กับกรมการเปลี่ยนแปลงดินฟ้าอากาศ ของ สปป.ลาว เพื่อจัดการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย โดย นายวราวุธ มั่นใจว่าการดำเนินโครงการต่าง ๆ ของ 2 ประเทศจะเดินหน้าไปได้อย่างราบรื่น