svasdssvasds

รถไฮบริด-รถไฟฟ้า ทำไมน่าใช้ในยุคน้ำมันแพง

รถไฮบริด-รถไฟฟ้า ทำไมน่าใช้ในยุคน้ำมันแพง

ในยุคที่น้ำมันแพงขึ้น รถยนต์ไฮบริดหรือรถไฟฟ้าจะมีอัตราสิ้นเปลืองที่ต่ำซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและค่าน้ำมันได้มากกว่ารถยนต์รุ่นเก่าๆ และมันแตกต่างกันมากแค่ไหนมาดูกัน

ในยุคน้ำมันแพงจนถึงลิตรละ 50 บาท หลากหลายคนมีรถยนต์ใช้กันอยู่แล้ว แต่เป็นรถที่อัตราสิ้นเปลืองสูงและไม่เหมาะกับการใช้งานในขณะนี้ เราจึงได้รวบรวม 5 รถยนต์ยอดฮิตที่น่าใช้ในยุคน้ำมันแพง ไว้ให้คุณได้ตัดสินใจเลือกซื้อกัน 

รถไฮบริดจึงเป็นตัวเลือกเหมาะสำหรับยุคน้ำมันแพงแบบนี้ 

รถยนต์ไฮบริด คืออะไร ?

รถไฮบริดจะใช้พลังงานมากกว่าหนึ่งชนิด โดยผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลกับมอเตอร์ไฟฟ้า และทั้งสองระบบจะทำงานร่วมกันเพื่อให้รถสามารถวิ่งได้ ซึ่งวิธีนี้ช่วยให้รถเผาผลาญน้ำมันได้น้อยลง และทำให้ได้ประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงที่ดีกว่าเครื่องยนต์แบบเดิมที่ใช้เชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียว 

ส่วนของพลังงานไฟฟ้าทำหน้าที่เพิ่มสมรรถนะของเครื่องยนต์ไฮบริด จะไม่เหมือนกับปลั๊กอินไฮบริด ที่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ แต่จะทำการชาร์จไปในตัวระหว่างรถยนต์ทำงาน

ในส่วนของ Plug-in hybrid อยู่กึ่งกลางระหว่างรถยนต์ทั่วไปและรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ดังนั้น มันจึงทำงานได้ทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปภายใน แต่สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ด้วยการ "เสียบปลั๊ก" กับแหล่งไฟฟ้าภายนอก

และเราได้รวบรวม 5 รถยนต์ไฮบริดที่เข้ามาในไทยมีรุ่นไหนน่าสนใจบ้าง และแต่ละรุ่นมีอัตราการกินน้ำมันเป็นอย่างไร ไปดูกัน

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

โดยได้ใช้อัตราค่าน้ำมันสมมุติ 50 บาท/ลิตร
 

1. HONDA HR-V e:HEV RS (ราคา 1.179 ล้าน บาท)
รถรุ่นนี้สามารถวิ่งได้ในอัตราค่าน้ำมันกิโลละ 1.95 บาท
 

รถไฮบริด-รถไฟฟ้า ทำไมน่าใช้ในยุคน้ำมันแพง
ขับเคลื่อนด้วยระบบฟูลไฮบริด e:HEV ที่ผสานการทำงานอันทรงพลังร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และชุดหน่วยควบคุมอัจฉริยะ (Intelligent Power Unit - IPU) ที่มาพร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ซึ่งมีน้ำหนักเบาและขนาดกะทัดรัด สามารถเก็บประจุไฟ และช่วยให้การชาร์จไฟเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งสามารถชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่โดยอัตโนมัติในขณะขับขี่ โดยมอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 2 ตัว มอบกำลังสูงสุดทั้งระบบได้ถึง 131 แรงม้า ตอบสนองทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0-3,500 รอบต่อนาที ให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 25.6 กิโลเมตร/ลิตร

 

2.Nissan Kicks e-POWER (ราคา 889,000 บาท)
รถรุ่นนี้สามารถวิ่งได้ในอัตราค่าน้ำมันกิโลละ 2.10 บาท

รถไฮบริด-รถไฟฟ้า ทำไมน่าใช้ในยุคน้ำมันแพง

เทคโนโลยี อี-พาวเวอร์ (e-POWER) ที่ให้ความเร้าใจผ่านพละกำลังและอัตราเร่งในทันทีเสมือนรถยนต์ไฟฟ้า 100% พร้อมคันเร่งอัจฉริยะ วัน-เพดัล (One-Pedal)
 

3.Toyota COROLLA CROSS HEV Premium Safety (ราคา 1,199 ล้าน บาท)
รถรุ่นนี้สามารถวิ่งได้ในอัตราค่าน้ำมันกิโลละ 2.15 บาท

รถไฮบริด-รถไฟฟ้า ทำไมน่าใช้ในยุคน้ำมันแพง

เครื่องยนต์ ระบบไฮบริดเจเนเรชันที่ 4 (4th Generation Hybrid) พัฒนาแบตเตอรี่ใหม่ ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อความทนทานและประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้นด้วยอัตราประหยัดน้ำมันสูงถึง 23.3 กม./ลิตร

เครื่องยนต์ 2ZR-FXE ขนาด 1.8 ลิตร เทคโนโลยีล้ำหน้าด้วยระบบการเผาไหม้แบบ Atkinson Cycle พร้อมระบบ VVT-i ที่ประหยัดเชื้อเพลิง และรักษาสิ่งแวดล้อม
ระบบส่งกำลังอัตโนมัติ E-CVT พร้อม Shift Lock ชุดระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ ที่ผสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อการขับขี่ที่นุ่มนวลต่อเนื่อง
PCU (Power Control Unit) พัฒนาให้ระบายความร้อนได้ดีขึ้น ช่วยให้ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แบตเตอรี่ไฮบริด Ni-MH (Nickel-Metal Hydride) แบตเตอรี่ใหม่มีขนาดเล็กลง เก็บประจุไฟฟ้าได้เร็วขึ้น และสามารถจ่ายไฟให้แก่มอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมพัฒนาระบบระบายความร้อนใหม่ ทำให้มีความทนทานและประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น
รองรับน้ำมัน E20


4.Toyota Altis (Corolla) HEV PREMIUM (ราคา 994,000 บาท)
รถรุ่นนี้สามารถวิ่งได้ในอัตราค่าน้ำมันกิโลละ 2.39 บาท

รถไฮบริด-รถไฟฟ้า ทำไมน่าใช้ในยุคน้ำมันแพง

จากสถาปัตยกรรมยานยนต์ใหม่ TNGA (Toyota New Global Architecture) ให้ความสนุกสนานในการขับขี่อย่างเต็มที่ (Fun-to-drive) สร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร พร้อมมั่นใจในทุกสถานการณ์การขับขี่ ด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลกของรถโตโยต้ารุ่นล่าสุด (Toyota Safety Sense) และยิ่งไปกว่านั้นถือเป็นครั้งแรกของโคโรลล่า อัลติส ใหม่ ที่มาพร้อมกับระบบไฮบริดรุ่นล่าสุด ในเจเนอเรชั่นที่ 4 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในอัตราการเร่งที่ดีขึ้น และสามารถประหยัดน้ำมันได้สูงสุด
 
เครื่องยนต์ 2ZR-FXE ขนาด 1.8 ลิตร พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า และเกียร์ E-CVT ขีดสุดแห่งพลังขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดเจเนอเรชันที่ 4 เพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดน้ำมันได้ดียิ่งขึ้น
 

5.HONDA City e:HEV (ราคา 839,000 บาท)
รถรุ่นนี้สามารถวิ่งได้ในอัตราค่าน้ำมันกิโลละ 2.41 บาท

รถไฮบริด-รถไฟฟ้า ทำไมน่าใช้ในยุคน้ำมันแพง

ระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid i-MMD ใหม่ล่าสุด เป็นการผสานการทำงานร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัวได้แก่ มอเตอร์ที่ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟฟ้า (Motor Generator) และมอเตอร์ที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนล้อ (Motor Drive) กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน ที่สามารถเก็บประจุไฟและช่วยให้การชาร์จไฟเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา  พร้อมตอบสนองอย่างทันใจด้วยแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0 - 3,000 รอบต่อนาที และให้อัตราการประหยัดน้ำมันดีเยี่ยมถึง 27 กิโลเมตร/ลิตร ทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและรองรับน้ำมันถึง E20

และหากเรามาเปรียบเทียบกับรถยอดฮิตที่เป็นระบบน้ำมันทั่วไป อัตราสิ้นเปลืองจะแตกต่างกันแค่ไหน 

รถไฮบริด-รถไฟฟ้า ทำไมน่าใช้ในยุคน้ำมันแพง
 

โดยค่าเฉลี่ยความต่างของราคารถไฮบริดกับรถทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 30-40% แล้วแต่บางรุ่นและเทคโนโลยีของรถ โดยอัตราสิ้นเปลืองที่ต่างกันเกือบๆ 40-50% เลยในรถ Segment เดียวกัน 

แต่เนื่องจากรถในปีก่อนๆ ไฮบริดยังไม่เป็นที่ยอมรับในวงการรถยนต์มากนัก แต่ในปีนี้ ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดในยุโรป ได้พุ่งขึ้นสูงกว่า 1 ล้านคันจากปีก่อนๆ 

หากคุณกำลังสนใจรถยนต์ไฮบริดอยู่ก็ลองคำนวณค่าใช้จ่ายและอัตราสิ้นเปลืองได้จากที่เราได้สรุปไว้ด้านบน และหากคุณคิดว่าการเพิ่มเงินสักนิดเพื่อใช้รถไฮบริดเป็นเรื่องที่ดี ได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆที่พัฒนามาถึงจุดที่เรียกได้ว่าใช้งานได้แล้ว แต่ถ้าหากคุณยังกลัวเรื่องการซ่อมบำรุง รถน้ำมันก็ยังเป็นที่นิยมในตลาดรถยนต์โลกเช่นเดียวกัน 
 


 

related