มีเครื่องหมายคำถามมากมายว่าอังกฤษต้องเจอกับเชื้อโควิด19 ชนิดที่กลายพันธุ์ B.1.1.7 และเชื้อชนิดนี้ก็กำลังระบาดอยู่ในไทย แต่อังกฤษมีการรับมือกับเชื้อตัวนี้ได้เป็นอย่างดี จนกระทั่งล่าสุดพวกเขาประกาศคลายล็อกดาวน์ เริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติกันบ้างแล้ว ขณะเดียวกันตัวเลขผู้ติดเชื้อก็มีอัตราลดลง นับตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา คำตอบของเรื่องนี้คือการระดมฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง และนี่คือกุญแจดอกสำคัญที่ทำให้อังกฤษเดินมาถึงจุดนี้ได้
นับตั้งแต่โควิด19ระบาด และมีการกลายพันธุ์ไปมากมาย สหราชอาณาจักรต้องเจอกับปัญหารุมเร้าในช่วงก่อนหน้านี้ ทั้งการเจอการกลายพันธุ์เป็น B.1.1.7 ซึ่งแพร่เชื้อได้เร็วกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมถึง 1.7 เท่า จนยอดผู้เสียชีวิตในอังกฤษพุ่งขึ้นไปถึงเกิน 1 แสนราย และนับเป็นชาติที่ 5 ของโลกที่ยอดผู้เสียชีวิตสูงขนาดนี้ต่อจาก สหรัฐ,บราซิล,อินเดีย และเม็กซิโก
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลภายใต้การนำของ บอริส จอห์นสัน พยายามหาทางแก้สุดชีวิต ด้วยการเร่งระดมฉีดวัคซีนอย่างเป็นระบบตั้งแต่ปลายปี 2020 จนมาถึงช่วงต้นปี 2021 และตัวเลขของผู้ติดเชื้อในสหราชอาณาจักรก็ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
ทั้งนี้ สหราชอาณาจักร ระดมฉีดวัคซีนของทั้งของPfizer และ แอสตราเซเนก้า โดยความมั่นใจหนึ่งของรัฐบาลมาจากการที่คนมากกว่า 32 ล้านคนในสหราชอาณาจักรได้วัคซีนเข็มแรกไปแล้ว นับได้ว่าเกือบถึง 50% จากประชากรทั้งหมดราวๆ 67 ล้านคน และในจำนวน32ล้านคนที่ได้วัคซีนไป มี 7.4 ล้านคนที่ได้เข็มที่สองแล้วด้วย นับเป็นความพยายามในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ของสหราชอาณาจักร
อีกทั้งเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา อังกฤษยังวัคซีนเข็มสองมากเป็นประวัติการณ์ที่ 475,230 เข็ม พร้อมด้วยวัคซีนเข็มแรก 111,109 เข็ม อีกด้วย สิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาในเชิงสถิติ เพราะตั้งแต่ต้นปี 2021 ตัวเลข ผู้ติดเชื้อรายวันของอังกฤษต่ำลงเรื่อยๆ
จากต้นปีที่ติดเชื้อรายสัปดาห์ที่ตัวเลข 57,000 คน ขณะที่ปัจจุบัน หลังจากมีการระดมฉีดวัคซีนไปเกือบครึ่งประเทศ อัตราการติดเชื้อรายสัปดาห์เหลือ 2,500 คน ...ซึ่งหากมองเป็นสถิติ คือ สหราชอาณาจักร มีตัวเลขเหลือแค่ 4 เปอร์เซนต์เท่านั้น หากเปรียบเทียบกับตัวเลขเมื่อต้นปี
สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้น ทำให้ทางการสหราชอาณาจักรเดินเครื่องเร่งแผนให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ เพื่อให้เศรษฐกิจได้เดินหน้ากันต่อไป เพราะทุกอย่างเข้ากำหนดหลักเกณฑ์ไว้ชัดเจน อาทิ
- การดำเนินการให้วัคซีนเป็นไปตามแผน
- มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่าวัคซีนสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิต และที่ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- อัตราการติดเชื้อลดลง ไม่เป็นภาระหนักของโรงพยาบาลในการรับผู้ป่วยใน
- เชื้อไวรัสกลายพันธุ์ไม่ส่งผลกระทบให้เกิดความเสี่ยง
การคลายล็อกดาวน์ในสหราชอาณาจักร นับเป็นการผ่อนมาตรการรอบที่ 3 ตั้งแต่การล็อกดาวน์รอบที่ 3 ของประเทศ โดยเริ่มต้นมา เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ช่องว่างระหว่างการคลายล็อกดาวน์แต่ละขั้นที่อย่างน้อย 5 สัปดาห์ จะช่วยทางการประเมินได้ว่ามีผลอย่างไร หากตัวเลขผู้ติดเชื้อยังสามารถควบคุมได้ และอยู่ในอัตราน้อยแบบนี้ การคลายล็อกดาวน์รอบถัดของสหราชอาณาจักร จะเป็นวันที่ 17 พ.ค. โดยคนถึง 6 คนจากต่างครัวเรือนสามารถพบปะกันภายในตัวอาคารได้
ของการผ่านพ้นวิกฤตโควิด19 ในสหราชอาณาจักรที่ถือว่ารุนแรงมาก แต่ก็ยังก้าวข้ามอุปสรรคอันยากลำบากครั้งนี้ได้
"นี่คือ...ก้าวสำคัญของแผนสู่อิสรภาพของเรา" บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรเผย
"ขอให้ทุกคนประพฤติตัวอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมต่อไป และอย่าลืมว่าต้องให้ความสำคัญกับมือ หน้า การเว้นระยะห่าง เพื่อจัดการกับโควิดขณะที่เรากำลังเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีน"
ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหราชอาณาจักรก็ไม่ได้มองว่าการกลับมาให้เปิดร้านค้าที่ขายของไม่จำเป็นหรือผับโซนกลางแจ้งจะทำให้เกิดความเสี่ยงอะไร ตราบใดที่ทุกคนปฏิบัติตามกฎ แม้นักวิทยาศาสตร์บางฝ่ายกังวลว่าคลายล็อกดาวน์เร็วเกินไป แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ก็ทำให้ประเทศได้เดินหน้าต่อไป ได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขอีกครั้ง
ประเทศไทยต้องเจอกับการระบาดระลอกใหม่ของโควิด ซึ่งมีต้นตอมาจากสายพันธุ์ B.1.1.7 เช่นเดียวกับสหราชอาณาจักร ดังนั้น บทเรียนที่ชาวผู้ดี UK ต้องเผชิญมาก่อน เคยเจ็บมาก่อน ก็น่าจะเป็น "ครู" สอนวิชา ให้ไทยได้เอาตัวรอดจากวิกฤตโควิด19 ครั้งนี้ได้เช่นกัน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
• สปป.ลาวลุยฉีดวัคซีนกลุ่มเป้าหมาย85% แล้ว ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดต่ำ
• เดนมาร์ก ระงับฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าทั้งหมด เป็นชาติแรกในยุโรป
• WHO เผยโควิดอินเดียกลายพันธุ์แพร่เชื้อง่ายขึ้น ไทยเตือนเฝ้าระวัง