โดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันว่า ตนมีอำนาจเต็มที่ในการสั่งให้บริษัทสหรัฐฯ ทั้งหมดถอนธุรกิจออกจากประเทศจีน แต่ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะใช้มาตรการดังกล่าว เพราะสหรัฐฯ กับจีนยังสามารถเจรจากันได้
การตั้งกำแพงภาษีระหว่างกันรอบใหม่เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่าน เริ่มจากการที่จีนประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 75,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5-10 เปอร์เซ็นต์และกลับมาเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์จากสหรัฐฯอีกครั้ง ทำให้ทรัมป์ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจีน 550,000 ล้านดอลลาร์ อีก 5 เปอร์เซ็นต์ พร้อมกับทวีตว่า สหรัฐฯไม่จำเป็นต้องพึ่งจีนที่ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาจากสหรัฐฯ เป็นมูลค่ามหาศาล และเขาขอสั่งให้บริษัทอเมริกันทั้งหลายเริ่มมองหาแหล่งผลิตใหม่แทนจีนได้แล้ว หรือไม่ก็นำโรงงานกลับมาตั้งในสหรัฐฯ อีกครั้ง
ต่อมาทรัมป์ยืนยันว่า เขามีอำนาจเต็มในการสั่งให้บริษัทสหรัฐฯ ยุติการทำธุรกิจในจีน ด้วยการประกาศ "ภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจ" ตามกฎหมายที่ออกมาเมื่อปี 2520 ซึ่งที่ผ่านมาผู้นำสหรัฐฯ เคยใช้ในการออกมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือและอิหร่าน และในปีนี้ทรัมป์ก็เคยขู่ใช้กฎหมายฉบับเดียวกันตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกทั้งหมด เพื่อตอบโต้ที่เม็กซิโกไม่ยอมจัดการกับคลื่นผู้อพยพมาแล้ว และเมื่อวานนี้ทรัมป์บอกว่า หากมองมูลค่าความเสียหายนับล้านล้านดอลลาร์ต่อปีจากการที่จีนได้ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาจากสหรัฐฯ ไปแล้ว นี่ก็ถือเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินได้เหมือนกัน แต่ตอนนี้้เขายังไม่มีแผนที่จะใช้มาตรการดังกล่าว เพราะสหรัฐฯ กับจีนยังคงพูดคุยกันได้
ล่าสุด โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอยู่ระหว่างร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำจี7 ที่ประเทศฝรั่งเศส อ้างว่า ผู้แทนรัฐบาลจีนได้ติดต่อมายังสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมาเพื่อยื่นข้อเสนอให้ทั้งสองฝ่ายกลับคืนสู่โต๊ะเจรจา สอดคล้องกับที่รองนายกรัฐมนตรีหลิว เฮ่อ ซึ่งเป็นผู้นำคณะเจรจาการค้าของจีนกล่าวล่าสุดว่า จีนต้องการแก้ปัญหาการค้าผ่านการเจรจาด้วยความสงบทำให้ขณะนี้ทรัมป์ดูจะลดความแข็งกร้าวลงอย่างมาก โดยชื่นชมไปยังประธานาธิบดีสี จิ้่นผิง และยังไม่ปฏิเสธแนวคิดที่จะเลื่อนการตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีนออกไปอีกด้วย