เรื่องราวของ อัครินทร์ ปูรี หรือ หรั่ง พระนคร ที่ต้องเข้าสถานพินิจตั้งแต่อายุ 14 ปี กระทำผิดซ้ำๆ ซากๆ แต่แล้ววันหนึ่ง เขาก็สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ เพราะการได้รับความรัก ความเมตตา และใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าทั้งต่อตัวเอง ครอบครัว ผู้อื่น และสังคม
ชีวิตของเขาไม่ต่างอะไรกับคนที่เคยผ่านขุมนรก ติดคุกตะรางรวม 9 ครั้ง ได้รับสถานะนักโทษชั้นเลวมากเรียนรู้การเอาตัวรอด ด้วยการใช้ความรุนแรง ที่การคุมขังลงทัณฑ์ ไม่อาจทำให้เขาหลาบจำได้…
แต่แล้วกลับเป็นความรัก และเมตตา ที่เริ่มต้นจากคนในครองครัว ซึ่งเฝ้ารอคอยอย่างอดทน จนในที่สุดเขาก็ได้กลายเป็นคนใหม่ โดย “อัครินทร์ ปูรี” หรือ “หรั่ง พระนคร” ถ่ายทอดอดีตอันโหดร้ายให้เราได้รับรู้ ดังต่อไปนี้
จุดเปลี่ยนแรกของในชีวิต เข้าสถานพินิจ
หรั่ง พระนคร เริ่มต้นด้วยการบอกเล่าเรื่องราวในวัยเด็ก หลังจากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ก็ทำให้เขาต้องเข้าสถานพินิจ ตั้งแต่อายุ 14 ปี
ในยุคสมัยก่อน ผมกับพี่สาวเหมือนตัวประหลาด เพราะหน้าตาแขกๆ เป็นลูกครึ่ง ก็ถูกล้อ พอถูกล้อฝรั่งดอง เราก็ทนไม่ไหว ก็เกิดอารมณ์โกรธ รวบรวมความกล้าแล้วก็ชกต่อย ผลลัพธ์ก็คือ คนที่ล้อเรารังแกเรา เวลาเราทำร้ายเขา เขาก็หยุดล้อเรา รังแกเรา และกลับกลายมายอมรับในพฤติกรรมแบบนั้นที่เราทำ
ความเป็นเด็กมันคิดไม่ได้ ก็คิดว่า นี่แหละเป็นพฤติกรรมที่ทำให้เราได้รับการยอมรับ พฤติกรรมที่ทำให้เราปกป้องตัวเองได้ มันก็เลยเข้าสู่วงโคจรการเป็นเด็กเกเรตั้งแต่ประถมเลย จนเติบโตขึ้นมา เข้า ม.1 ม.2 ม.3 ก็ยังมีพฤติกรรมแบบนี้ ยกพวกตีกัน ทะเลาะวิวาท จนสุดท้ายเราก็อยู่ในสังคมของเด็กที่เกเร
เราไม่ได้โทษใคร และมันหนีไม่พ้นที่เราอยากจะเสพยาเสพติด ก็เข้าสู่กระบวนการติดยาเสพติด ในช่วงเวลา 6 เดือน ก็ถูกจับเลย เข้าสถานพินิจ นั่นก็คือจุดเปลี่ยนในชีวิต กลายเป็นเด็กเกเรหนักขึ้นไปอีก
บทความที่น่าสนใจ
แกเร็ธ เพย์น : “วันที่สูญเสียขา ผมเป็นคนใหม่ ที่ดีขึ้นกว่าเดิม”
ชีวิตที่พลิกหลายตลบของ เอ็ม คนตัวลาย จากนักโทษประหาร สู่นักมวยแชมเปี้ยนโลก
อดีตนักพนัน เจ้าพ่อ นักการเมือง ! เส้นทางชีวิตแบบ “ใจแลกใจ” ในสไตล์ชัช เตาปูน
นรกบนดิน กับการเรียนรู้เพื่อความอยู่รอด
หลังจากนั้น ชีวิตของหรั่ง พระนคร ก็เวียนวนเข้าออกสถานพินิจ กระทั่งเข้าเรือนจำครั้งแล้วครั้งเล่า รวมแล้วถึง 9 ครั้ง
ตอนนี้กลายเป็นอาชญากรแล้ว เพราะว่าออกมาไม่มีเงินเสพยา ไม่มีเงินซื้อ ก็ไปฉกชิงวิ่งราว ลักเล็กขโมยน้อย จนต่อมาก่อคดีร่วมกันชิงทรัพย์ ถูกตำรวจจับ ศาลตัดสินจำคุก 10 ปี นี่คือรอบสุดท้ายในการเข้าคุก
คือในคุกเนี่ย ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน มันคือนรกบนดิน เราต้องเข้าใจขบวนการก่อนว่า คุก เอาไว้ขังคนที่ทำผิด คนที่ทำร้ายสังคม คนที่สร้างปัญหา คนที่ฆ่าคนตาย คนที่มีสารพันความไม่ดี ไปอยู่รวมกัน
สิ่งที่น่ากลัวของคุกไม่ใช่กฎระเบียบของทางเรือนจำ หรือเจ้าหน้าที่เป็นผู้ตั้ง แต่มันจะมีกฎมืดของคนคุกด้วยกัน อันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้นิสัยของคนคุกเลวร้ายกว่าเดิม ในอดีตค่อนข้างโหดร้าย ต้องยอมรับว่ามีการกดขี่ข่มเหง บีบบังคับล่วงละเมิดทางเพศกับผู้ชายด้วยกัน
คือมันเป็นเรื่องของการที่จะต้องดิ้นรน เหมือนผมเข้าไป ผมผ่านเรือนจำ ผ่านสถานพินิจมา ภาษคุกเรียกว่า มีรอบบิน คือ รู้วิธีว่าต้องอยู่แบบไหน แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกที่ที่เราไปเราจะอยู่สบาย ผมไปก็อยู่ก็โดนเอาเปรียบ มีคนที่เขาอยู่ก่อนเรา เขามาเอาเปรียบเรา เอาเงินเรา เราก็ทนไม่ได้ เราไม่อยากจะเสียเงินตรงนี้ไป เราก็เริ่มถีบตัวเอง ในการเรียนรู้ว่าทำยังไง ให้ตัวเองเป็นขาใหญ่
อย่างตัวผมเนี่ย ผมเข้าไปก็ถูกกดขี่ข่มเหงตั้งแต่คุกเด็กแล้ว เคยถูกรุมทำร้าย เหมือนเขาจะล่วงละเมิดทางเพศเรา แต่เราก็รอดมาได้ เราก็เริ่มเรียนรู้ว่าทำอย่างไรให้เราอยู่รอดปลอดภัย เราก็เริ่มเรียนรู้ในการอยู่กับขาใหญ่ เขาเรียกว่าสร้างความกล้าหาญให้กับตัวเองขึ้นมา เพื่อที่จะอยู่ให้ได้
มันก็ทำให้ผมซึมซับพฤติกรรมอยู่ในเรือนจำมากเข้า มากเข้า จนบางครั้งผมรู้สึกว่า ชีวิตนี้ผมคงไม่ได้ออกแล้ว เหมือนเราอุทิศตัวอยู่ในคุก มันก็ทำให้เราเติบโตขึ้นมา ผมก็ไปเติบโตอยู่ในคุก
ในช่วงเวลาหนึ่ง มีคนยอมรับเรา เรามีอิทธิพลพอสมควรในเรือนจำ แต่ว่ามันแค่ความรู้สึก ในส่วนลึกของจิตใจเรารู้สึกกลัวมาก แล้วเราก็ไม่อยากอยู่ในเรือนจำ ไม่ได้อยากเป็นขาใหญ่ ไม่ได้อยากเป็นพ่อบ้าน ไม่ได้อยากกินหรูอยู่สบายในคุก เข้าใจไหมครับ แต่อยากอยู่ข้างนอก
เศษชีวิตที่ถูกขยี้ แต่ก็ยังมีค่าสำหรับใครบางคน
การได้ใช้ชีวิตอย่างคนปกติทั่วไปในสังคม สำหรับ หรั่ง พระนคร ในเวลานั้น มันคือความฝันที่ไกลเกินเอื้อมแต่ด้วยความรักของพี่สาวที่เชื่อมั่นว่า สักวันน้องชายจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ทำให้เขารู้สึกว่า เศษชีวิตที่ถูกขยี้จนไม่มีชิ้นดี ก็ยังมีค่า สำหรับใครบางคน
อยู่ดีๆ ก็เหมือนโชคดี เรือนจำเขาบอกว่า โอเค ใครก็ได้ที่อยู่แดนนี้ จะเกเรสักแค่ไหนก็แล้วแต่ ให้โอกาสพบญาติใกล้ชิด 1 ครั้ง ผมก็เขียนจดหมายไปหาพี่สาว พี่สาวก็มาเยี่ยมผม จุดเปลี่ยนมันก็จะเริ่มจากตรงนั้น
คือพอพ่อเสียไป จะมีสักกี่คนล่ะ อยู่กับเราในยามที่เราแบบไม่มีคนเอา เขายังอยู่กับเรา เหมือนกับวันที่เราไม่มีใครมอง วันที่เราไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง วันที่เราไม่มีใครเอา พี่สาวคนนี้ยังอยู่ข้างเรา
คือพี่สาวกับผม พอเติบโตขึ้นมาเราคุยกัน พี่สาวบอกว่า เขาเห็นผมตั้งแต่วัยเด็ก คือเราอยู่ด้วยกัน ตั้งแต่เด็ก เราห่างกันแค่ปีกว่า พี่สาวบอกจริงๆ แล้ว ผมไม่ใช่คนเลวร้าย ตั้งแต่วัยเด็กผมไม่ใช่คนเลวร้าย แต่ด้วยสภาพแวดล้อม การกระทำหลายๆ อย่างที่มันสะสมจนเปลี่ยนเราเป็นอีกคนหนึ่ง
พี่สาวเชื่อว่า วันหนึ่งผมจะกลับมาสู่กระบวนการเป็นคนเดิมได้ แต่ต้องยอมรับว่า มันนานมาก นานจนบางทีพี่สาวผมก็เหนื่อยใจ
จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ออกจากเรือนจำ ตั้งใจเป็นหรั่งคนใหม่
ในการมาเยี่ยมเยียนครั้งนั้น พี่สาวก็บอกเล่าถึงสิ่งที่เธอกำลังศรัทธา และอยากช่วยให้น้องชายคนนี้มีชีวิตใหม่ที่ดี เธอพูดถึงพระเจ้า พระเยซู และขอให้หรั่งลองอธิษฐานขอพร
ด้วยความรู้สึกผิดที่ทำให้คนที่รักเขา ต้องผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พี่สาวคนนี้ก็เฝ้ารอคอยด้วยความเชื่อมั่นว่า เขาจะเป็นคนดีได้ในสักวัน
หรั่ง พระนคร จึงทำตามที่พี่สาวแนะนำ โดยได้ขอพรจากพระเจ้า ให้เขาได้ออกจากคุก และก็ราวกับปาฏิหาริย์ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้ในสิ่งที่หวัง และตั้งมั่นว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นหรั่งคนใหม่ ที่หลังหันให้สิ่งเลวร้าย แต่มัน...ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย
ขณะที่ผมออกมาแล้วไปอยู่ในมูลนิธิ (บ้านพระพร) ก็หนีไปเสพยานะ คิดว่าเขาไล่เราแน่ คือตั้งใจไปเสพเลย ไม่ฟังเขา แต่ไม่ใช่ เหมือนเขาเข้าใจ เขาก็ให้โอกาสผมเริ่มต้นใหม่ ทำแบบนี้ 3 ครั้ง ครั้งที่ 3 ผมคิดว่ายังไงก็ไม่รอด ก็กะว่าเดี๋ยวมาเก็บข้าวของ แต่เขาก็ยังให้โอกาสอีก
เมื่อก่อนเราเป็นคนไม่ดี มีแต่คนตัดสินเราว่า ทำผิดครั้งเดียว มึงรับโทษเลย แต่เขายังให้อภัย ให้โอกาสเรา มันก็เหมือนคลิกในใจด้วย พอแล้ว ต้องเริ่มลุกขึ้นมาสู้กับตัวเอง
ชีวิตที่มีคุณค่า คือชีวิตที่รู้จักการเป็นผู้ให้
จากโอกาสที่ได้รับ ทำให้ หรั่ง พระนคร มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้ และได้เรียนรู้วิชาการเป็นช่างทำกีตาร์ ที่ต่อมากลายเป็นอาชีพในการหาเลี้ยงครอบครัว และเพื่อให้กีตาร์ที่เขาทำมีคุณภาพ หรั่งจึงต้องใช้ความพิถีพิถันเป็นอย่างสูง โดยเฉลี่ยแล้วเขาสามารถทำกีตาร์ได้เพียงเดือนละหนึ่งตัว โดยตอนนี้มีคิวสั่งจองยาวแบบข้ามปีเลยทีเดียว
และจากประสบการณ์ชีวิต ที่ราวกับเคยด่ำดิ่งลงสู่ขุมนรก ก่อนเปลี่ยนแปลงตัวเอง และอุทิศเวลาส่วนหนึ่งให้กับการทำประโยชน์เพื่อสังคม ทำให้เขาได้เรียนรู้และค้นพบว่า สิ่งที่สำคัญก็คือชีวิตที่มีคุณค่า ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น
ผมคิดว่า คนเรามันต้องเห็นคุณค่าของตัวเอง ไม่ว่าจะทำงานประเภทไหนก็แล้วแต่ ถ้าเกิดเราไม่ได้เห็นคุณค่าในตัวเองเนี่ย มันก็ไม่มีความหมาย ฉะนั้นอะไรล่ะ จะทำให้เราเห็นคุณค่าของตัวเอง แล้วทำให้เรามีประโยชน์ที่สุด
วันนี้สำหรับตัวผมนะ วันนี้ผมมีโอกาส ผมมีงานทำ ก็แบ่งเงินส่วนหนึ่งสำหรับช่วยเหลือเพื่อนนักโทษของผม หรือผมไปหากลุ่มเพื่อนที่มีอดีตคล้ายกับผม แล้วผมสามารถที่จะหยิบยื่นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ให้กับเขาได้
ในความรู้สึกของผม วันนี้ผมมีคุณค่าและมีประโยชน์มาก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะคุณค่าของผมมาจากการที่ผมได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ผมรู้สึกว่าทุกลมหายใจ ผมมีความหมาย
ชีวิตผมมีความหมายตลอดเวลา สิ่งตรงนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าผมมีคุณค่าในตัวเอง มีประโยชน์ต่อสังคม ตามที่พระคัมภีร์บอกว่า การให้เป็นเหตุให้มีความสุข มากกว่าการรับ แล้วมันก็เป็นจริงในชีวิตผมครับ