เรื่องราวของชีวิตของ เฉลิมพล สิงห์วังชา หรือ เอ็ม คนตัวลาย จากนักมวยเด็กอนาคตไกล กลับกลายเป็นนักค้ายาเสพติด และจากนักโทษประหารในคดีฆาตกรรม ก็พลิกชีวิต เป็นนักมวยระดับแชมเปี้ยนโลก
เรื่องราวที่กำลังจะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นอีกหนึ่งชีวิตที่พบกับจุดเปลี่ยนหลายครั้ง เป็นชีวิตที่เคยพลาดพลั้งจนแทบไม่หลงเหลือแม้แต่ความหวัง ชีวิตที่ไม่ต่างกับแสงไฟใกล้มอดดับ แต่แล้วกลับพลันสว่างลุกโชน
จากนักมวยเด็กอนาคตไกล กลับกลายเป็นนักค้ายาเสพติด และจากนักโทษประหารในคดีฆาตกรรม ก็พลิกชีวิต เป็นนักมวยระดับแชมเปี้ยนโลก
เฉลิมพล สิงห์วังชา หรือ เอ็ม คนตัวลาย เจเอ็มบ็อกซิ่งยิม เขาพลาด เขาพลั้ง และผ่านคืนวันอันโหดร้ายมาได้อย่างไร ? อะไรคือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ? รวมถึงความหมายที่แท้จริงของคำว่า ชัยชนะ ? พบคำตอบทั้งหมดได้ในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
Squid Game ความเห็นแก่ตัว คือธาตุแท้ หรือเพราะระบบ ที่กดดัน ?
จุดเปลี่ยนครั้งที่ 1 จากนักมวยเด็ก เข้าสู่วังวนยาเสพติด
ในวัยเด็ก เอ็ม ถือว่าเป็นนักมวยที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ อีกทั้งได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว หากชีวิตของเขาไม่พบกับจุดหักเห เอ็มอาจเติบโตขึ้นมาเป็นนักมวยอาชีพ และประสบความสำเร็จสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ทว่า...
"ผมหัดมวยตั้งแต่ 9 ขวบ ด้วยความที่คุณพ่อกับปู่ชอบมวย แต่จริงๆ แล้วผมไม่ชอบ ไม่เอาเลย พ่อกับปู่จึงเอาไปฝากกับค่ายมวยพันธ์ยุทธภูมิ อยู่ที่สมุทรปราการ สำโรงเหนือ พอไปอยู่จุดนั้นเริ่มชกมวย ตอนแรกชกแล้วได้ค่าตัว 50 บาท คนข้างล่างให้ทิป ให้นู่นให้นั่น เบ็ดเสร็จแล้วไฟต์แรกเราได้เกือบ 500 บาท เราจึงคิดว่า เฮ้ย มวยมันก็ช่วยทำให้เรามีเงินเลี้ยงครอบครัวหรือดูแลตัวเองได้ จากที่ไม่ชอบ ก็คิดว่าลองดูสักตั้ง ก็ต่อยมาเรื่อยๆ ตั้งแต่อายุ 9 ขวบครับ
"จนอายุได้ 14 - 15 ปี มันก็มาพลิก พลิกตรงที่ว่า เราอยู่แต่ค่ายมวย พอเลิกเรียนก็ต้องเข้าค่ายไปซ้อมมวย แต่เราเห็นเพื่อนในรุ่นๆ เรา สูบบุหรี่ กินเหล้า มันก็เลยอยากลอง เป็นสิ่งที่แบบว่า มันเท่ว่ะ ณ ตอนนั้นนะ เราอยากให้คนในกลุ่มยอมรับ ก็เลยยุติการชกมวย เลิกเป็นนักมวย หันหลังให้กับวงการมวยเลย
"ไปเริ่มสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด พอดื่มเหล้าไปแล้วไม่มีสติ มันก็เฮ้ย อันนี้ (ยาเสพติด) ลองหน่อยวะ เอาหน่อยวะ ตอนนั้นเรารู้นะว่าอะไรดี อะไรไม่ดี แต่ห้ามใจไม่ได้
"พอเราสูบเสร็จปุ๊บ มันรู้สึกว่า จะทำอย่างไรให้สูบได้โดยที่ไม่ต้องซื้อ ก็เลยหยิบเอาค้า เริ่มขายยาเสพติดจาก 10 เม็ด 20 เม็ด มาเป็น 100 เยอะขึ้นไปเรื่อยๆ บวกกับเราได้เงิน โห เด็กอายุ 16-17 ปี ได้เงินเป็นหมื่นเลยครับ มันก็เลยทำให้เรามีความคิดว่า โอ้โห ขายยาแล้วมีเงิน คือมันเป็นความคิดสั้นๆ น่ะครับ จึงอยากบอกเยาวชนว่า มันไม่ใช่เรื่องที่ดี"
ชีวิตถลำลึก กลายเป็นนักค้ายา ฆ่าคนตาย ถูกตัดสินประหารชีวิต
นับตั้งแต่วันที่เขาก้าวเข้ามาในวังวนของยาเสพติด ชีวิตก็ด่ำดิ่งลงไปเรื่อยๆ กระทั่งถลำลึกก่อคดีฆ่าคนตาย จนถูกศาลตัดสินประหารชีวิต
"พอค้ายาแล้วเข้าไปอยู่ในกลุ่มนั้นปุ๊บ เขาบอกว่าขึ้นหลังเสือแล้วมันลงยาก มันก็จริงนะ แล้วมันก็อยู่ที่ตัวเราด้วย มันมีจังหวะวันที่พลาดก็คือ มีคนเอายาผมไปขาย แล้วก็มีปัญหากัน ทะเลาะกัน ยิงกันจนเสียชีวิต
"พูดไปก็เหมือนเราจะแก้ตัว แต่วันนั้นผมไม่ได้เอาปืนเอาอะไรไปสักอย่าง คือวันที่มีเหตุการณ์ทะเลาะกัน ผมเอาปืนของเขาน่ะแหละ ที่จ่อผมเนี่ย ยิงเขา แต่ที่โทษมันหนักก็เพราะเราอุ้มศพขึ้นรถเพื่อจะเอาไปทิ้ง มันกลายเป็นการอำพรางศพ
"ตอนนั้นด้วยความที่ยังเด็ก อายุ 19 มันกลัวตรงที่ว่า เฮ้ย เรายิงคนตาย เราจะทำยังไงไม่ให้ใครรู้ ชั่วโมงนั้นคิดอยู่คนเดียว แต่ถ้าผมยิงเสร็จ เอาไว้ตรงนั้น ผมก็แค่ป้องกันตัว แต่ผมเอาศพขึ้นรถ ก็เลยโดนฟ้อง ฆ่าโดยไตร่ตรอง อำพรางซ่อนเร้นศพ โทษเลยสูง ประหารชีวิตครับ แล้วผมรับสารภาพ เหลือจำคุกตลอดชีวิต
ช่วงชีวิตในเรือนจำ ต้องโหด เพื่อความอยู่รอด
ในเรือนจำเสมือนเป็นโลกอีกใบหนึ่ง ที่เอ็มต้องพยายามหาวิธีเอาตัวรอด เพื่อไม่ให้ถูกนักโทษคนอื่นข่มเหงรังแก เขาจึงพยายามแจ้งเกิดให้ได้ในฐานะขาใหญ่ของเรือนจำ
"เราก็คิดว่า ต้องติดคุกตลอดชีวิต ต้องอยู่ในนี้ตลอดชีวิต จึงมีความคิดแบบเด็กๆ น่ะครับ อยู่ข้างในเนี่ยเราต้องเกเรเพื่อความอยู่รอด เพื่อที่จะไม่ให้ใครมารังแกเรา เราทำอย่างไรก็ได้ให้ทุกคนในนี้ยอมรับเรา เราต้องเห็นแก่ตัว
"เพราะถ้าเรายอม เราก็ต้องยอมยันตาย แต่ถ้าเราแจ้งเกิดได้เมื่อไหร่ ทุกคนยอมรับเรา ไม่มีใครมายุ่งกับเราแน่ มันเลยทำให้เราเป็นคนสันดานเสีย หรือคนที่แบบเกเรไปเลย เกเรเพื่อความอยู่รอด
"ผมมีเพื่อนมีพวกเยอะมาก แต่ผมเป็นคนที่ไม่ไปหาเรื่องใครก่อน ไม่เคยไปรังแกเขา เราชอบความถูกต้อง ถ้าใครทำไม่ถูก ผมก็ไม่ยอม แต่เราไม่ใช่อยู่ๆ ไปหาเรื่องเขา ไม่ใช่ครับ คือเราเป็นคนชอบความถูกต้อง แล้วคนที่อยู่กับเราเนี่ย เราไม่ยอมให้คนอื่นมารังแก อย่ามารังแกคนที่เราดูแล
จุดเปลี่ยนครั้งที่ 2 ฟิตซ้อมเพื่อเป็นนักกีฬามวยเรือนจำ
เอ็มปรับตัว ทำใจ และยอมรับชะตากรรมที่ต้องอยู่ในเรือนจำทั้งชีวิต เพราะโทษที่หนักหน่วง ทำให้เขาคิดว่า ประพฤติตนให้เป็นนักโทษชั้นดี ก็เปล่าประโยชน์ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่จุดประกาย ที่เป็นจุดเปลี่ยน เป็นแสงไฟที่ริบรี่ แต่อย่างน้อยๆ ก็ทำให้เขามีความหวัง และพยายามต่อสู้ เพื่อออกมาสู่โลกภายนอก
"เมื่อปี 2552 ตอนนั้น มีเรื่องมีราวกันแล้วก็ถูกขังเดี่ยว ผู้คุมก็ขึ้นไปหาผม เขาพูดว่า เอ็มมึงอยากจะอยู่แต่ในนี้เหรอ อยากจะเป็นขาใหญ่แต่ในนี้หรือไง ไม่สงสารแม่เหรอ รู้ไหม โลกข้างนอกเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว เนี่ยมีมวย ต่อยมวยเอาไหม ได้ต่อยข้างนอกด้วย ผู้คุมก็บอกให้ผมลองดู
"ผู้คุมก็บอกว่า ลองลงมาฟิตร่างกายเพื่อไปต่อยมวย จะได้ไปเที่ยว ผมก็โอเค ผมก็รับปาก แล้วก็ซ้อมมวยได้ประมาณ 2 เดือน ได้ไปต่อยที่ที่เรือนจำจันทบุรี เป็นของกีฬามวยเรือนจำ เรือนจำทั่วประเทศเลยมารวมกัน
"เราก็แบบ เฮ้ย ได้ออกมาข้างนอก ขึ้นรถเห็นต้นไม้ เห็นถนน เห็นมอเตอร์ไซค์ คือแบบ เฮ้ยก็ดีนะ ได้ไปเที่ยวด้วย มันก็เริ่มทำให้มีความคิดใหม่ มีโอกาสไปชกข้างนอกได้ไปเจอแม่ ได้ไปเจอพี่สาว ได้ไปเจอญาติพี่น้อง ไม่ต้องมีลูกกรงกั้น ตอนนั่งกินข้าวผมก็กราบเท้าแม่ ขอโทษแม่ เป็นความสุขเล็กๆ ความสุขสั้นๆ แต่มันก็มีความสุขมากๆ สำหรับนักโทษอย่างพวกเรา"
สร้างชื่อเสียงให้เรือนจำ คว้าแชมป์มวยระดับประเทศหลายรายการ
เอ็ม คว้าแชมป์มวยเรือนจำระดับประเทศได้ในหลายรายการและหลายปีซ้อน จนกระทั่งสิ่งที่หวัง ก็เป็นจริงขึ้นมา
"แล้วท่านสุชาติ วงศ์อนันต์ชัย อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนเก่า ท่านก็บอกว่า ติดมาจนขนาดนี้ยังไม่ได้กลับบ้านอีกเหรอ เดี๋ยวทำพักโทษกรณีพิเศษให้ เดี๋ยวกลับบ้านเลย ผมก็คิดว่า เล่นกับความรู้สึกเราอีกแล้ว เพราะตอนนั้นผมได้ลดโทษ แต่ก็เหลืออีกเกือบ 10 ปี
"เขาบอกว่า เดี๋ยวเก็บเสื้อผ้ากลับบ้านเลย ผมก็คิดว่า ใช่หรือเปล่าเนี่ย หลอกเราหรือเปล่า ก็คิดว่าปล่อยป้าย เพราะตอนนั้นปี 2553 ป้ายผมอยู่ปี 2562 ผมจึงคิดว่าอีกนานกว่าจะได้ออกจากเรือนจำ ก็ชกมวยมาจนถึงปี 2556 ผมก็ได้ทำเรื่องพักโทษกรณีพิเศษ สร้างชื่อเสียงให้กับเรือนจำ"
คว้าแชมป์มวยสากลอาชีพ
หลังออกจากเรือนจำ เขาก็มุ่งเข้าสู่วงการมวยเต็มตัว จนกระทั่งได้แชมป์มวยสากลอาชีพ ที่สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองและประเทศชาติ ทำให้ชีวิตของเอ็มในเวลานั้น น่าจะมีอนาคตที่สวยงาม
"ตอนนั้นออกมาก็ไปอยู่ค่ายมวยเลย งง ปิดไฟนอน นอนไม่ได้ คือเราเปิดไฟนอนมา 13 ปี ผมก็ปรับสภาพอยู่ประมาณเดือนหนึ่ง แล้วก็มาชิงแชมป์ ABF สหพันธ์แห่งเอเชีย มวยสากลอาชีพ ก็ได้แชมป์ ผมก็ต่อยมาเรื่อยๆ ป้องกันแชมป์ได้ประมาณ 9 หน แล้วก็สละแชมป์ เพราะว่าน้ำหนักไม่ได้
"มันก็เลยทำให้รู้สึกภาคภูมิใจว่า คนคุกอย่างเราเนี่ย เฮ้ย มันมีดีนะ แต่บางทีไม่มีโอกาส เราก็พยายามทำให้ทุกคนเห็นว่า พวกนักโทษ พวกตัวลายๆ เนี่ย มันก็มีดี ความรู้สึกตอนนั้นของผมก็คือ ผมมาไกลแล้ว มาไกลเกินฝันแล้ว ที่เหลือก็คือกำไรชีวิต"
จุดเปลี่ยนครั้งที่ 3 พลาดพลั้งซ้ำ และจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ พลังแห่งความรัก
ถ้าเป็นภาพยนตร์ ฉากที่ออกจากเรือนจำ ได้แชมเปี้ยนโลก ก็คือฉากจบที่สวยงาม แต่ชีวิตจริง มันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเอ็มพลาดพลั้งซ้ำ กลับไปเป็นทาสยาเสพติด แต่ความรักก็ก่อให้เกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ที่ครั้งนี้เขาไม่ได้ต่อสู้กับนักมวยคนใด แต่กำลังต่อสู้กับตัวของเขาเอง
"คบกันได้ 4 -5 เดือน ภรรยาก็ยังไม่รู้ว่าผมเสพยา แล้วเขาก็มาจับได้ พอจับได้ เขาก็ไล่ผมเลย เขาบอกว่า ในเมื่อเราคุยกันแล้ว เรื่องยาเสพติดกับเรื่องผู้หญิง แต่เรื่องผู้หญิงผมไม่มี มีแต่เรื่องยาเสพติด เขาก็ไล่ผม ผมก็ร้องไห้ ผมก็คิดว่า ระหว่างเลิกกับคนที่เรารัก กับเลิกสิ่งพวกนี้ เราต้องเลือกสักทางหนึ่ง
"ชีวิตผมสีดำมาตลอดเลย เอาวะ เลิกยาเสพติดเลย ผมก็เกาะขาเขา บอกว่า ช่วยผมด้วย ผมอยากเลิกยา
"เขาก็บอกว่า พี่ต้องเชื่อหนูนะ พี่ต้องฟังหนูนะ ผมก็ครับ เขาก็ขังผมไว้ในห้อง เวลาเสี้ยนยาเขาก็จับผมลากเข้าห้องน้ำแล้วก็เปิดยูทูบที่เราชกมวย ตอนที่เป็นนักมวย แล้วพูดว่า พี่เอ็ม พี่เห็นใครไหมเนี่ย พี่เห็นตัวเองไหม พี่ยืนร้องเพลงชาติเนี่ย พี่มีเข็มขัดอยู่เนี่ย คือแบบเขาให้กำลังใจเราตลอด ก็ประมาณ 2 อาทิตย์ ที่ต้องอยู่อย่างนั้น"
SpringNews : มันทรมานขนาดไหน ?
เอ็ม คนตัวลาย : "มันเข้ากระดูก มันปวดตัว เข้าเส้นหมดเลยครับ"
SpringNews : แล้วเคยมีความคิดผุดขึ้นมาว่า ไม่เอาแล้ว กลับไปเสพยาดีกว่า ไม่อยากทรมาน ?
เอ็ม คนตัวลาย : "ไม่มีครับ คือผมตั้งใจด้วย ผมอยากเลิกจริงๆ ไม่อยากทำให้ภรรยาเสียใจ จริงๆ เขาหาคนที่ดีกว่าเราได้"
SpringNews : เขารักคุณมากๆ
เอ็ม คนตัวลาย : "ใช่ครับ ผมก็ถามว่า ทำไมถึงไม่ไป เขาบอกว่า เพราะพี่เป็นคนดี"
SpringNews : เขามองเห็นเนื้อแท้ข้างใน
เอ็ม คนตัวลาย : "ใช่ครับ ผมก็เลย โอ้โห ทั้งที่เขาไปหาใครก็ได้แต่เขาก็ยังอยู่กับเรา แล้วก็เป็นกำลังใจให้เรา จนผมพิสูจน์ตัวเองว่า ผมเลิกยาได้ พอเลิกยาได้ผมก็เลิกเหล้า เลิกบุหรี่ เลิกการพนัน เลิกทุกอย่างที่ไม่ดี เลิกหมดเลย เพราะเขาเนี่ยแหละครับ"
ชีวิตเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
หลังจากนั้น แม้ว่าเอ็มจะเลิกยาเสพติดได้ แต่การที่จะกู้ชีวิตตัวเองกลับคืนมาในฐานะอดีตแชมเปี้ยนโลก มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่เขาก็พยายามทำให้สำเร็จ โดยมีภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากคอยให้กำลังใจ อยู่เคียงข้างตลอดเวลา
"ชีวิตช่วงนั้นคือพังไปเลยครับ ไม่มีรายการต่อย ไม่มีอะไรเลย แล้วก็มาได้พี่กบ ศศิประภายิม โปรโมเตอร์มวยไทย แกให้ชีวิตใหม่กับผม เอาผมไปชกมวย แกบอกตัวลาย ต่อยมวยไหม ผมก็บอกโอเคครับ ต่อยครับพี่
"ก็ซ้อมมวยกัน 2 คนกับภรรยา ไม่มีเงินไปจ้างใคร ไม่มีค่ายอยู่ ภรรยาผมเป็นคนล่อเป้าให้ แต่ก็ไม่ได้เตะแรงนะ คือแบบว่าเรามีพื้นฐานของเราอยู่แล้ว ให้เขาจับให้เล็กๆ น้อยๆ แล้วก็พาผมวิ่ง อยู่ที่ระยองตอนนั้น พาผมวิ่ง พาผมซ้อม แล้วก็ไปต่อยชนะ นั่นคือจุดเริ่มต้น กลับมาชกมวยอาชีพอีกครั้ง
"แล้วก็มาชกในรายการเอ็มเอสของพี่กบ ศศิประภายิม ชกมาเรื่อยๆ อีกประมาณ 7 - 8 ครั้ง ผมไม่แพ้เลย กลับมาวงการมวยอีกรอบ ก็คือ คนตัวลาย เจเอ็มบ็อกซิ่งยิม แล้วก็มีโอกาสไปชิงแชมป์ WBC ทำให้เราแบบ เฮ้ย เอาวะ โอกาสอีกสักครั้งหนึ่ง ที่แรกคิดว่า ถ้าได้แชมป์ครั้งนี้จะเลิก จะหยุดแล้ว ขอทำเพื่อภรรยา แล้วก็ได้แชมป์มา แต่ร่างกายเรายังไหวอยู่ ปัจจุบันนี้ผมก็ยังชกมวยต่อมาเรื่อยๆ
สุดท้ายนี้ เอ็ม คนตัวลาย ได้ฝากข้อคิดที่น่าสนใจไว้ดังนี้
"สำหรับผม ผมคิดอยู่สิ่งหนึ่งว่า วันนี้ผมยังมีลมหายใจ ผมยังไม่แพ้ ในวันที่ผมแพ้ นั่นแหละคือวันที่ผมหมดลมหายใจ ตราบใดที่มีลมหายใจขอให้ทุกคนสู้ ความท้อแท้กับชีวิต ทุกคนมีเหมือนกันหมดครับ ผมก็มี ไม่ใช่ไม่มี แต่ผมทำให้ชีวิตตัวเองมีคุณค่า ผมไม่ได้ทำให้ชีวิตของผมไร้ค่า ตราบใดที่คุณยังมีลมหายใจ สู้ต่อไปครับ