“สมคิด” ส่งสัญญาณชัด ไม่แทรกแซงค่าบาท ยันรัฐบาลทำเต็มที่ แม้เศรษฐกิจโตต่ำ แต่ไม่ติดลบ เหตุจากปัจจัยภายนอกไม่สามารถควบคุม พ้อเหนื่อยโซเซียล ตีรัฐบาล อัดเศรษฐกิจเจ๊ง ยันตกงานแค่ 1% วอนเอกชนก้าวข้ามความขัดแย้ง
วันนี้ (1 ธ.ค. 62) นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “ร่วมมือร่วมใจนำประเทศสู่อนาคต”ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศประจำปี ครั้งที่ 37 ที่จังหวัดลำปาง โดยย้ำให้ภาคเอกชนร่วมกับขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ในภาวะชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก โดยในปีนี้ไอเอ็มเอฟปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกมาแล้วถึง 4 ครั้ง อยู่ที่ 3 %
โดยระบุว่า ขณะนี้เศรษฐกิจไทยยังขยายได้ที่ 2.4% แต่ในอัตราที่ลดลงไม่ได้ย่ำแย่ถึงขั้นติดลบ เพราะการส่งออกได้รับผลกระทบจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ทำให้โรงงาน แรงงาน ได้รับผลกระทบจากสายการผลิตหยุด คนตกงาน และว่างงาน 3 แสน - 4 แสนคน แต่เมื่อเทียบกับจำนวนแรงงานทั้งประเทศ 37 ล้านคน คิดเป็นเพียง 1% อัตราการว่างงานต่ำสุดในโลก
พร้อมย้ำว่า ที่ผ่านมารัฐบาลได้เดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างเต็มที่แล้ว แต่มีปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอ การส่งออกลดลง เงินบาทแข็งค่า ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยจะเข้าไปดูแล แต่รัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซง เพราะสหรัฐอเมริกากำลังจับตาประเทศไทยว่ามีการแทรกแซงค่าเงิน ซึ่งจะทำให้สหรัฐใช้มาตรการกีดกันทางการค้ากับไทย และจะยิ่งซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจไทย
นายสมคิด ยังแสดงความเป็นห่วงสถานการณ์การเมืองไทยในขณะนี้ โดยระบุว่า มีความขัดแย้งสูง สะท้อนจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ล่มมาแล้ว 2 ครั้ง โดยขอให้ทุกฝ่ายมีความสามัคคีก้าวข้ามความขัดแย้งเพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้า ทุกฝ่ายต้องมีการปรับตัว ซึ่งรัฐบาลเองก็มีการปรับตัวเหมือนกัน เรามีรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตยเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีซึ่งต้องทำหน้าที่ประคับประคองให้ได้ และทุกฝ่ายก็ต้องช่วยกัน อยากมัวแต่ขัดแย้งกัน นี่คือสิ่งที่ท้าสทาย เราจะเปลี่ยนไทยเป็นดิจิดอล เป็นหน้าที่ใคร รัฐมนตรีที่นั่งในสภา 34 คนหรือคงไม่ใช่ ทุกคนต้องช่วยกัน อะไรที่เป็นอุถปสรรคต่อการพัฒนาประเทศก็ออกกฎหมาย ไม่ใช้ตีกันอย่างเดียว ตีรัฐบาลทำได้อยู่แล้ว แต่ต้องช่วยกันพัฒนาประเทศ ตนอยากให้การเมืองย้อนไปเมื่อ20ปีก่อน ที่อภิปรายในสภาแต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ มีอะไรก็ช่วยกัน
“ผมไม่สนใจใครจะรักจะชังผม ผมใช้เวลากว่า10ปีทำเพื่อนบ้านเมือง อย่าเกลียดการเมือง ผมอยากให้ทำเพื่อบ้านเมือง ผมเป็นคนไม่มีพรรคมีแต่พวก อยากไปอยู่พรรคไหนก็อยู่ไป แล้วมาทำการเมือง มาเป็นรัฐบาล ผมพูดตรงไปตรงมา ตั้งแต่อยู่สมัยไทยรักไทย ผมเหนื่อยโซเซียล ผมเชื่อ คนตกงาน3-4แสนคน แต่แรงงานในประเทศมี 37 ล้านคน คนว่างงาน 4 แสนคน มันคือ 1% ของแรงงานทั้งประเทศ เราก็ต้องช่วยตรงนี้ ซึ่งบางสายการผลิตมีหยุดบ้าง แต่ไม่ใช่ไปออกโซเซียล ว่าไทยเจ๊ง ล้มแล้ว ตกลงเราต้องการให้ไทยเจ๊งหรือต้องการให้รัฐบาลเสื่อม มันไม่มีประโยชน์เลย แต่สิ่งที่เราต้องทำคือก้าวข้ามความขัดแย้ง ช่วยกันคนละไม้ละมือ ทำให้ไทยดีที่สุด วันนี้ไทยเท่อยู่แล้วในอาเซียน แต่ต้องทำให้เท่จริงๆ ทั้งหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคาร ที่สำคัญใจต้องสู้ ต้องช่วยประเทศ และเด็กรุ่นใหม่ต้องเข้ามา อย่าเกลียดการเมือง ไม่งั้นก็เป็นแบบนี้มันสนุกมั้ย”
นายสมคิด ย้ำว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลได้เดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มรายได้และกำลังซื้อผ่านโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการชิมช้อปใช้ เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชนส่วนการลงทุนภาครัฐชะลอตัว เนื่องจากการเบิกจ่ายงบประมาณยังล่าช้า จากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า กระทรวงการคลังรายงานว่า ขณะนี้มีงบประมาณรอเบิกจ่ายกว่าแสนล้าน ขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งรัดคาดว่าหากสามารถขับเคลื่อนได้จะช่วยทำให้เกิดการลงทุนมากขึ้น
ขณะเดียวกันก็ขอให้เอกชน ใช้โอกาสจากเงินบาทที่แข็งค่าปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ปรับโครงสร้างการผลิต พัฒนาสู่อุตสาหกรรมใหม่สินค้าใหม่ ๆ สินค้านวัตกรรม เพื่อเพิ่มมูลค่า มากกว่าการขายสินค้าแบบเดิม ตลาดเดิม เพราะขณะนี้รูปแบบของการค้าโลกเปลี่ยนไปสู่อุตสาหกรรมสมัยใหม่แล้ว เอกชนต้องพัฒนายกระดับตัวเองมากกว่าเรียกร้องให้ดูแลค่าเงินบาท เพราะไม่ง่าย
โดยคาดว่า ในไตรมาสที่ 4 นี้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวได้ หากการท่องเที่ยวเป็นไปตามคาด รายได้จากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสอง
นายกลินท์ สารสิน ประธานหอการค้าไทย ระบุว่า เศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวขณะนี้มาจากปัญหาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ และเงินบาทที่แข็งค่าเป็นหลัก และเห็นว่าการกระจายรายได้ยังไม่ทั่วถึง ทั้งนี้หอการค้าไทยได้ยื่นสมุดปกขาวสรุปผลการประชุมหอการค้าทั่วประเทศและแนวทางแก้ปัญหาหาเศรษฐกิจเสนอถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเพื่อเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปด้วย