รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้กรณี Zipmex เขย่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสัญญาณคริปโทฯร่วงยุคดอกเบี้ยขาขึ้น
รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ และอดีตกรรมการตรวจสอบ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึง กรณีการประกาศระงับการเพิกถอนเงินของนักลงทุนของ Zipmex Thailand และผลกระทบจากการขาดสภาพคล่องของธุรกิจซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยโดยรวมส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล และอาจลามถึงฟินเทคสตาร์อัพทั้งหลาย ฉะนั้นต้องเร่งแก้ไขปัญหาความเสียหายของนักลงทุน กำกับดูแลตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลให้ดีขึ้น
แน่นอนว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นเกิดจากอุตสาหกรรมสินทรัพย์การลงทุนดิจิทัลโลกฟองสบู่แตกและเข้าสู่ภาวะขาลงภาวะดังกล่าวจะยังคงดำรงอยู่อย่างยาวนานจนกว่ากลไกราคาจะปรับสมดุลได้การขายกิจการและการเปลี่ยนเจ้าของและผู้ถือหุ้นจะเกิดเพิ่มขึ้นพร้อมกับการลดขนาดองค์กรและปลดคนออกจากงาน ตอนนี้อาจต้องจับตาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับตลาดซื้อขายสินทรัพย์การลงทุนดิจิทัลขนาดใหญ่อย่าง Binance เนื่องจากเป็นบริษัทที่มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยเข้าร่วมลงทุนอยู่ด้วย อย่างไรก็ตามความเสียหายในระดับพันล้านบาทยังไม่ส่งผลรุนแรงต่อตลาดการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินโดยรวม
ขณะเดียวกัน เม็ดเงินจำนวนหนึ่งที่เคยลงทุนในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลน่าจะไหลมาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ซึ่งมีความน่าเชื่อถือมากกว่า ความเสี่ยงต่ำกว่าแทนโดยเฉพาะในยุคอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยกรณี Zipmex น่าจะเป็นเพียงสัญญาณแรกอันเป็นผลจากปฏิกิริยาลูกโซ่จากการร่วงลงอย่างแรกของคริปโตเคอร์เรนซี่ทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้บริษัทซื้อขายคริปโตจำนวนหนึ่งล้มละลาย ปิดกิจการและขาดสภาพคล่อง
เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง :
อย่างกรณีของ บาเบลไฟแนนซ์ (Babel Finance) และ เซลเซียส เน็ตเวิร์ก (Celsius Network) สองบริษัทล้มละลายและขาดสภาพคล่องจึงส่งผลกระทบต่อ Zipmex Global และคาดว่า นักลงทุนผู้เสียหาย คาดว่ากรณี Zipmex จะส่งผลให้ดีลการซื้อ Bitkub ของ SCBx นอกจากนี้ มีบริษัทจดทะเบียนเพียง 3 แห่งเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการลงทุนใน Zipmex บริษัท แพลน บี มีเดีย (70 ล้านบาท) บริษัท มาสเตอร์แอด (197 ล้านบาท) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (1% ของทุนจดทะเบียน Zipmex)
แม้นตลาดคริปโตฯจะเข้าสู่ภาวะขาลง แต่ศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ดิจิทัลในหลายประเทศรวมทั้งไทยก็ยังมีโอกาสกลับมาเติบโตได้อีกในอนาคต อาจเป็นอนาคตที่ตั้งรอกันยาวอย่างน้อย 2-3 ปี
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวย้ำเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ทางการ (ก.ล.ต.) ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน คือ การไปตรวจสอบบริษัทที่ทำการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลแต่ละแห่งว่า ยังคงมี Digital Assets อยู่ครบหรือไม่ มีการยักย้ายถ่ายเทไปที่ไหนหรือไม่ หรือ เอาไปลงทุนต่อหรือไปฝากเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ไหนหรือไม่ การดำเนินการดังกล่าวได้รับความยินยอมจากนักลงทุนผู้เป็นเจ้าของสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านั้นหรือไม่ตามเงื่อนไขของ ก.ล.ต. นั้น มีความชัดเจนอยู่แล้วว่า ห้ามนำเงินลงทุนหรือทรัพย์สินของลูกค้าไปหาประโยชน์อื่น
แนวทางกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลอาจต้องมีการปรับและตอบสนองต่อนวัตกรรมการลงทุนของสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้นเพื่อคุ้มครองนักลงทุน เพื่อธุรกิจสามารถระดมทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยเพื่อการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมดังกล่าว สินทรัพย์ดิจิทัลซึ่งมีอยู่สองประเภทใหญ่ คือ คริปโตเคอร์เรนซี และ โทเคนดิจิทัล
ในส่วนของโทเคนดิจิทัล (Digital Token) แบ่งย่อยออกเป็น Investment Token ให้สิทธิในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือกิจการใดๆ และ Utility Token ให้สิทธิแก่ผู้ถือในการได้มาซึ่งสินค้าและบริการการออกมาตรการกำกับต้องแตกต่างกันและต้องครอบคลุมสินทรัพย์ดิจิทัลทุกลักษณะและต่อไปก็จะมีพัฒนาให้ซับซ้อนขึ้นไปอีก หากไม่ครอบคลุมดีพออาจมีคนใช้ช่องโหว่ของระบบการกำกับดูแลและกฎหมาย หาประโยชน์อย่างไม่ชอบธรรมเอาเปรียบนักลงทุน หรือแม้นกระทั่งฉ้อโกงประชาชนได้
จึงขอเสนอให้ ก.ล.ต. และ ธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกแนวทางและมาตรการในการกำกับดูแลการออกเสนอขายคริปโตเคอร์เรนซี การทำ Crypto Mining, การให้กู้ยืมสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto Lending) การทำ Custodian และ การทำ Wallet Provider ต้องมีการปฏิรูปหน่วยงานกำกับตลาดการเงิน กฎหมายว่าด้วยตลาดการเงิน ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลและการลงทุนต้องให้เท่าทันต่อเทคโนโลยีและกลโกงหรือการเอาเปรียบนักลงทุนในรูปแบบต่างๆด้วย
รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า การฉ้อโกงเงินลงทุนในแวดวงคริปโตเคอร์เรนซีนั้นมีหลากหลายวิธีและรูปแบบ วิธีหนึ่งที่มีการใช้กัน คือ การเข้ามาเจาะระบบโดยแฮกเกอร์ เป็นแฮกเข้ามาในระบบการเงินแบบกระจายศูนย์หรือ DeFi การแฮกระบบ DeFi แม้นทำได้ยากแต่ก็ทำให้เกิดการสูญเสียเม็ดเงินของนักลงทุนไปแล้วในระดับหนึ่งพันล้านดอลลาร์ เราสามารถแบ่งรูปแบบของวิธีการฉ้อโกงทางการเงินได้หลายรูปแบบดังนี้ รูปแบบแรก เรียกว่า Pumps and Dumps ซื้อเหรียญมาเก็บไว้ เก็งกำไรและปั่นราคาให้ขึ้นไปสูง หลอกล่อให้คนไปซื้อและเทขายออกมา
รูปแบบที่สอง NFT Scams ใช้วิธีสร้างเว็บไซค์ปลอมที่มีหน้าตาเหมือนเว็บไซค์ทางการขึ้นมาแล้วพยายามหลอกล่อผู้ใช้งานให้ล็อกอิน เพื่อเอาข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงิน ข้อมูลการลงทุน จนกระทั่งบัตรเครดิต เป็นวิธีที่แฮกเกอร์ใช้กับเว็บไซค์ขายของออนไลน์
รวมทั้งขาย NFT วิธีการนี้เรียกว่า ทำ Replica Store หรือ แฮกเกอร์อาจใช้วิธีหลอกคนที่สนใจใน NFT ของใครเป็นพิเศษแล้วส่งลิงก์เสนอขายเหรียญคริปโต หรือ อาจใช้วิธีสร้างชุมชนเพื่อเลียนแบบ Official Brand รูปแบบที่สาม DeFi Rug Pulls เป็นรูปแบบการโกงโดยหลอกล่อให้เอาเงินมาลงทุนในแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล จากนั้นก็เอาเงินโอนออกไปจนหมด โดยตรวจสอบหรือติดตามไม่ได้ว่าสุดท้ายเงินที่หายไปนั้นไปอยู่ที่ไหน
รูปแบบที่สี่ Fake ICOs มักใช้บริษัทขนาดเล็กหรือสตาร์ทอัพระดมทุนโดยแจ้งว่าจะนำเงินลงทุนไปพัฒนาธุรกิจสร้างสินค้าหรือบริการใหม่ ๆ และมีการออกเหรียญให้นักลงทุนผู้สนใจ หากนักลงทุนสนใจก็ซื้อเหรียญ ICOs ด้วยการจ่ายเหรียญคริปโตฯ แต่ไม่ได้เป็นการระดมทุนเพื่อไปลงทุนโครงการต่าง ๆ จริง รูปแบบที่ห้า Malware เจาะเข้าระบบแล้วโอนเงินออกจาก Wallet จนหมดโดยไม่สามารถติดตามเส้นทางการโอนเงินได้ว่าไปไหน