svasdssvasds

ทรัมป์พลิกภาษี ลดทั่วโลก 10% อัดจีน 125% หุ้นเทคสหรัฐฯพุ่งบวกแรง

ทรัมป์พลิกภาษี ลดทั่วโลก 10% อัดจีน 125% หุ้นเทคสหรัฐฯพุ่งบวกแรง

ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ ประกาศลดภาษีนำเข้าเหลือ 10% ชั่วคราว 90 วันสำหรับเกือบทุกประเทศเพื่อเปิดเจรจา แต่ขึ้นภาษีจีนเป็น 125% ส่งผลหุ้นสหรัฐฯ ดีดตัวแรงสุดในรอบ 5 ปี

SHORT CUT

  • ทรัมป์เปลี่ยนนโยบายภาษีกะทันหัน ลดอัตราภาษีนำเข้าเหลือ 10% ชั่วคราวเป็นเวลา 90 วันสำหรับประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ (กว่า 75 ประเทศ) เพื่อเปิดทางการเจรจา แต่ในขณะเดียวกันก็ประกาศขึ้นภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้าจากจีนอย่างมหาศาลเป็น 125% โดยให้มีผลบังคับใช้ทันที
  • ทรัมป์ ให้เหตุผลการลดภาษีว่าหลายประเทศแสดงความจำนงขอเจรจาและไม่ได้ตอบโต้สหรัฐฯ ส่วนการขึ้นภาษีจีนเกิดจาก "การขาดความเคารพต่อตลาดโลก" ขณะที่รัฐมนตรีคลังอ้างว่าเป็นแผนเดิม แต่ผู้นำฝ่ายค้านมองว่าเป็นการบริหารที่โกลาหลและคาดเดาไม่ได้
  • หลังการประกาศของทรัมป์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ร่วงลงติดต่อกัน 4 วันก่อนหน้า ได้ดีดตัวกลับขึ้นมาอย่างรุนแรง โดยดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้น 7% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นในวันเดียวที่มากที่สุดในรอบ 5 ปี สะท้อนความคาดหวังว่าความตึงเครียดทางการค้า (ยกเว้นกับจีน) อาจผ่อนคลายลงชั่วคราว

ประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์ ประกาศลดภาษีนำเข้าเหลือ 10% ชั่วคราว 90 วันสำหรับเกือบทุกประเทศเพื่อเปิดเจรจา แต่ขึ้นภาษีจีนเป็น 125% ส่งผลหุ้นสหรัฐฯ ดีดตัวแรงสุดในรอบ 5 ปี

เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่มาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ที่เข้มงวดขึ้นต่อสินค้านำเข้าจากเกือบ 90 ประเทศมีผลบังคับใช้

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีครั้งสำคัญอีกครั้งเมื่อวันพุธที่ผ่านมา

ในการประกาศผ่านโซเชียลมีเดีย ทรัมป์ระบุว่า ได้ตัดสินใจ "ระงับการขึ้นภาษีชั่วคราว" และกำหนดอัตราภาษีนำเข้าใหม่สำหรับประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ไว้ที่ 10% เป็นระยะเวลา 90 วัน

โดยให้เหตุผลว่าเพื่อเปิดโอกาสให้ประเทศเหล่านี้เจรจาหาทางออก ในประเด็นการค้าต่างๆ และไม่ได้มีการตอบโต้สหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์อ้างว่ามี "กว่า 75 ประเทศ" 

 

อย่างไรก็ตาม ในการประกาศเดียวกัน ทรัมป์ได้สั่งขึ้นอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้านำเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างมหาศาล สู่ระดับ "125%" โดยให้มีผลบังคับใช้ทันที

ทรัมป์พลิกภาษี ลดทั่วโลก 10% อัดจีน 125% หุ้นเทคสหรัฐฯพุ่งบวกแรง

ทรัมป์ ให้เหตุผลในการขึ้นภาษีครั้งนี้ว่าเกิดจาก "การขาดความเคารพที่จีนได้แสดงต่อตลาดโลก" และย้ำว่า "วันที่จีนจะขูดรีดสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ นั้น ไม่ยั่งยืนหรือไม่เป็นที่ยอมรับอีกต่อไป" การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่จีนเพิ่งประกาศก่อนหน้านี้ว่าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 84%

 

CREDIT : REUTERS

การประกาศเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีกะทันหันนี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ร่วงลงติดต่อกัน 4 วันทำการ ตอบสนองในเชิงบวกทันที

ดัชนี S&P 500 พุ่งสูงขึ้นถึง 7% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นในวันเดียวที่มากที่สุดในรอบ 5 ปี สะท้อนความโล่งใจของนักลงทุนต่อการลดความตึงเครียดทางการค้ากับหลายประเทศ (ยกเว้นจีน)

เมื่อถูกถามถึงเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจ ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวทำนองว่า ประเทศต่างๆ เริ่ม "ตื่นกลัว" ต่อท่าทีแข็งกร้าวของสหรัฐฯ

ขณะที่นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กล่าวว่าการระงับภาษีชั่วคราวนี้เป็น "กลยุทธ์ที่วางแผนไว้แต่แรก" แม้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวจะปฏิเสธข่าวลือเรื่องการระงับภาษีมาตลอด

ด้านนายชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา วิจารณ์การตัดสินใจของทรัมป์ว่า เป็นผลมาจากแรงกดดัน และสะท้อนถึง "การบริหารประเทศด้วยความโกลาหล" และคาดเดาไม่ได้

เดิมทีเมื่อวันที่ 2 เมษายน ทรัมป์ได้ประกาศแผนเก็บภาษีพื้นฐาน 10% จากกว่า 180 ประเทศ และกำหนดภาษีตอบโต้ที่สูงขึ้น (ตั้งแต่ 11% - 50%) กับกลุ่มประเทศราว 90 ประเทศ ซึ่งเพิ่งมีผลบังคับใช้ก่อนที่จะมีการประกาศเปลี่ยนแปลงล่าสุดนี้

การเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างรวดเร็วและคาดเดาได้ยาก สร้างความไม่แน่นอนอย่างสูงให้กับบริษัทเทคโนโลยี โดยเฉพาะบริษัทที่มีห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และฐานการผลิตเชื่อมโยงกับหลายประเทศทั่วโลก การวางแผนธุรกิจระยะยาวกลายเป็นเรื่องท้าทายอย่างยิ่ง

การประกาศระงับการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ส่งผลบวกอย่างชัดเจนต่อตลาดหุ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นของ Tesla (TSLA) พุ่งทะยานขึ้นอย่างโดดเด่นกว่า 20% ในช่วงบ่ายวันพุธ นำหุ้นอื่นๆ ในกลุ่ม "Magnificent Seven" ปรับตัวสูงขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศการฟื้นตัวในวงกว้างของตลาด 

ภาคเทคโนโลยีเป็นหัวหอกสำคัญของการปรับตัวขึ้นครั้งนี้ การทะยานขึ้นของ Tesla ทำให้เป็นหนึ่งในหุ้นที่ทำผลงานดีที่สุดในดัชนี S&P 500 และ Nasdaq เช่นเดียวกับหุ้น Nvidia (NVDA) ผู้ผลิตชิป AI ซึ่งเป็นหุ้นที่ปรับตัวขึ้นสูงสุดในกลุ่มดัชนี Dow Jones Industrial Average โดยราคาหุ้นพุ่งขึ้นกว่า 18%

ภาพรวม ณ เวลาปิดตลาดวันพุธ ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นถึง 9.5%, ดัชนี Dow Jones เพิ่มขึ้น 8% และดัชนี Nasdaq ซึ่งมีหุ้นเทคโนโลยีจำนวนมากเป็นส่วนประกอบ ดีดตัวขึ้นถึง 12%

นอกจากนี้ หุ้นในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ เช่น Broadcom (AVGO), Advanced Micro Devices (AMD), Micron Technology (MU), และ Applied Materials (AMAT) ต่างปรับตัวสูงขึ้นถ้วนหน้า ส่งผลให้ดัชนี PHLX Semiconductor Index (SOX) พุ่งขึ้นเกือบ 19%

ขณะเดียวกัน หุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่รายอื่นๆ ก็ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง Meta Platforms (META) กระโดดขึ้นเกือบ 15%, Amazon (AMZN) ทะยานขึ้น 12%,

Microsoft (MSFT) และ Alphabet (GOOGL) บริษัทแม่ของ Google ต่างปรับตัวขึ้นราว 10% ส่วนหุ้น Apple (AAPL) ก็ฟื้นตัวแรงกว่า 15% หลังจากที่เพิ่งเผชิญกับช่วง 4 วันที่ราคาหุ้นปรับตัวลงย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2000

ข่าวนี้เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวสำคัญที่ตอกย้ำความเปราะบางของระบบการค้าโลก และส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุน ความเสี่ยง และทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก ซึ่งต้องติดตามผลการเจรจาและท่าทีของสหรัฐฯ ต่อไปอย่างใกล้ชิด

ที่มา : CNBCInvestopia

related