Meta ซึ่งที่เป็นที่รู้จักกันในแอปฯ Facebook , Instagram หรือ WhatsApp กำลังเตรียมเลิกจ้าง (Layoff) พนักงานใหม่ในสัปดาห์นี้ และอาจเป็นประวัติศาสตร์การเลิกจ้างครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัท
หนังสือพิมพ์วอลสตรีท เจอร์นัลรายงานว่า บริษัทเมตา แพลตฟอร์มส์ ซึ่ง บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก จะเริ่มทำการ ปลดพนักงาน จำนวนมากในสัปดาห์นี้ หรืออย่างเร็วที่สุดในวันพุธ (9 พ.ย.)
รายงานระบุว่า การเลิกจ้างดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อพนักงานหลายพันคน และเป็นการปรับลดพนักงานครั้งใหญ่ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของเมตา โดยเมตาระบุว่า ณ สิ้นเดือนก.ย.ปีนี้ บริษัทมีพนักงานมากกว่า 87,000 คน
เมื่อวันที่ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา นายมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเมตาได้จัดการประชุมกับพนักงาน และได้เปิดเผยถึงแผนระงับการจ้างงานและปรับโครงสร้างทีมงาน เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจมหภาคยังคงมีความไม่แน่นอน
ระหว่างการประชุมกับพนักงานซึ่งมีการเปิดเผยแผนการปรับลดการใช้จ่ายครั้งใหญ่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเฟซบุ๊กในปี 2547 นั้น นายซัคเคอร์เบิร์กกล่าวว่า บริษัทจะระงับการจ้างงานและปรับโครงสร้างทีมงานบางส่วนเพื่อลดการใช้จ่าย โดยจำนวนพนักงานในปี 2566 จะน้อยลงกว่าในปีนี้
"ที่ผ่านมานั้น ผมคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่สิ่งที่เราเห็นในขณะนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องการวางแผนอย่างระมัดระวัง โดยบริษัทจะลดงบประมาณในทีมงานส่วนใหญ่ แม้ว่าทีมเหล่านี้กำลังเติบโตขึ้นก็ตาม นอกจากนี้ ทีมงานต่าง ๆ จะต้องหาทางรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจำนวนพนักงาน ซึ่งอาจหมายความว่าบริษัทจะไม่รับพนักงานเพิ่มในแผนกที่พนักงานพ้นสภาพการทำงาน หรืออาจจะมีการโยกย้ายบุคลากรไปยังทีมงานอื่น ๆ หรืออาจจะจัดการกับพนักงานที่ไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน" นายซัคเคอร์เบิร์กกล่าวในการประชุมพนักงาน
เมตาไม่ใช่บริษัทที่ต้องพึ่งพารายได้จากโฆษณาเพียงรายเดียวที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยกูเกิลซึ่งเป็นบริษัทลูกของอัลฟาเบท ก็ประกาศชะลอการจ้างงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และบริษัทสแนป อิงค์ ได้ประกาศลดพนักงานในอัตราส่วน 20% ของจำนวนพนักงานในองค์กรเมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา
ราคาหุ้นเมตาร่วงลงไปแล้ว 73% ในปีนี้ (2565) และกลายเป็นบริษัทที่ทำผลงานย่ำแย่ที่สุดในดัชนี S&P500 ในปี 2565
มีรายงานข่าวตั้งแต่เดือนต.ค.ที่ผ่านมา ว่า แผนก Reality Labs ซึ่งเป็นแผนกที่ดูแลธุรกิจด้านเทคโนโลยีความจริงเสมือน (virtual reality) และ เมตาเวิร์ส (Metaverse) ของบริษัท ทำรายได้เพียง 285 ล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาส3 ซึ่งลดลงเกือบ 49% จากปีที่แล้ว แผนกนี้ขาดทุนไปถึง 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.4 แสนล้านบาท ทำให้นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงไตรมาสที่ 3 บริษัทเมตาสูญเงินกับธุรกิจส่วนนี้แล้วถึง 9,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.57 แสนล้านบาท)
ในขณะเดียวกัน รายได้จากโฆษณาซึ่งคิดสัดส่วนเป็น 98.2% ของรายได้ทั้งหมด ยังลดลงไปอยู่ที่ 27,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงเกือบ 4% จากไตรมาสที่ 3 ปีที่แล้ว(2564)
กล่าวคือนอกจากรายได้หลักจะลดแล้ว เมตายังมีธุรกิจปั้นใหม่มาฉุดยอดกำไรให้ดิ่งลง สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตัวบริษัทต้องสั่นคลอน และบริษัทเองก็สูญเสียมูลค่าทางการตลาดด้วย