เปิดโมเดลธุรกิจใหม่จากการใช้ Data เรียกว่า 'Regulation as a Services'
Data Regulation ยังเป็นความท้าทายสำคัญที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุน เนื่องจากบริษัทข้ามชาติต่างๆ 'สับสนกับกฎหมายของแต่ละประเทศ' บริษัทที่เห็นโอกาสนี้จึงสร้างโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า Regulation as a Services หรือ Data Residency as a Service คือ บริการที่เป็นตัวกลางในการให้คำปรึกษาและจัดการเรื่อง Data Privacy รวมถึงการตีความเอกสารข้อมูลให้เป็นไปตามข้อกำหนดของประเทศนั้นๆ
3 แกนหลักสำคัญของการใช้ Data เพื่อนำไปสู่ 'Data Economy'
มีมุมมองจากผู้บริหารธุรกิจบริการด้าน Data Center ในระดับไฮเปอร์สเกล ศุภรัฒศ์ ศิวะเพ็ชรานาถ สิงหรา ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือSTT GDC Thailand ที่ระบุแกนการนำ Data ไปใช้เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศจากการใช้ Data ดังนี้
เพื่อความมั่นคงของชาติ (National Security) กับสิทธิปกครอง Data ของเราเอง เนื่องจากประเทศไทยมีการ Consume Data มหาศาล เฉลี่ยใช้อินเทอร์เน็ตสูงกว่าวันละ 7 ชั่วโมง (อ้างอิงข้อมูลจาก ETDA) สำหรับผู้บริโภคทั่วไป เราจึงควรมีสิทธิ์ปกป้อง Data ของเราเอง ในขณะที่ Data ควรอยู่ในประเทศไทย โดยยึด Data Residency Laws ของประเทศนั้นๆ
ออกกฎที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุน (Commercial & Investment) เนื่องจาก Data is a New Oil ไม่ต่างจากพลังงานอื่นๆ ดังนั้นหลายๆ ประเทศจึงให้ความสำคัญในการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ Data เพื่อเพิ่มการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เช่น อินโดนีเซียที่ออกกฎว่า จะต้องจัดทำศูนย์ข้อมูลและศูนย์กู้คืนข้อมูลสำรองภายในประเทศ และ Data ต้องอยู่ในประเทศเท่านั้น ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะกระตุ้นการลงทุนในประเทศเป็นหลัก
มาตรการส่งเสริมและหลักเกณฑ์ควบคุมการใช้ Data ต่างๆ ของภาครัฐยังส่งผลต่อความท้าทายและโอกาสที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่น่านน้ำทางเศรษฐกิจใหม่ กรณีนี้ ศุภรัฒศ์แนะนำว่า หากภาครัฐปรับนโยบาย 4 ด้าน มาสนับสนุนเพียงเล็กน้อยก็สามารถพาประเทศไปสู่การเป็นผู้นำใน Data Economy ได้ ดังนี้