ประเทศไทยเตรียมก้าวขึ้นเป็น EV Hub แห่งอาเซียน หลากหลายบริษัทรถยนต์แห่ลงทุนเพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ปัจจุบันไทยยังมียอดขายรถ EV สูงเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 60%
ไทย กำลังจะก้าวสู่การเป็น EV Hub แห่งอาเซียน ซึ่งไม่นานมานี้เราได้มีบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนมากมายในด้านการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งไทยถูกจัดอยู่ในประเทศที่มีสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการใช้รถ EV มากที่สุดอันดับ 9 ของโลก แซงหน้าเวียดนามอันดับ 14 และอินโดนีเซียอันดับ 13 ขณะนี้ไทยยังขึ้นเป็นประเทศที่มียอดขายรถ EV สูงสุดเป็นอันดับ 1 ในอาเซียนเมื่อปีที่แล้ว คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดในอาเซียนเกือบ 60%
ล่าสุด บริษัทฉางอัน ออโตโมบิล (Changan Automobile) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของจีนได้ประกาศลงทุนในไทยเป็นจำนวนเม็ดเงิน 9,800 ล้านบาท สร้างโรงงานผลิตรถ EV พวงมาลัยขวา ซึ่งถือเป็นโรงงานแห่งแรกของบริษัทที่อยู่นอกประเทศจีน ด้วยกำลังการผลิตระยะแรก 1 แสนคันต่อปี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
นอกจากนี้ GAC AION ค่ายรถ EV ยักษ์ใหญ่เบอร์ 3 ของจีน ก็ประกาศลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถ EV ในไทย 6,400 ล้านบาทเช่นกัน
ก่อนหน้านี้มีหลายบริษัทต่างชาติที่แห่เข้ามาลงทุนตั้งฐานผลิตรถ EV ในไทย นำโดยบริษัทรถยนต์แบรนด์จีนอย่าง Great Wall Motor (GWM), Dongfeng , Neta และ BYD
ขณะที่ Foxconn ผู้ผลิตและประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของไต้หวันร่วมทุนกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ยักษ์ใหญ่พลังงานของไทย พร้อมกับเลือกไทยและสหรัฐเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
นอกจากนั้น บริษัทรถยนต์ค่ายจีนอย่าง Geely, JAC, JMC ก็มีแผนจะมาตั้งฐานผลิต EV ในไทยเช่นกัน
ไม่เว้นแม้แต่แบรนด์รถยนต์สหรัฐอย่าง Ford ที่ประกาศลงทุนอัปเกรดโรงงานในไทยกว่า 900 ล้านดอลลาร์ หรือราว 30,700 ล้านบาทเมื่อปี 2564
นับเป็นมูลค่าลงทุนในไทยครั้งใหญ่ที่สุดของ Ford เพื่อรองรับการผลิตรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้าได้อย่างรถกระบะ Ford Ranger EV และรถอเนกประสงค์ Ford Everest EV พร้อมจ้างงานอีก 1,250 ตำแหน่ง
อีกทั้งยังมีบริษัท Tesla ของสหรัฐที่เข้ามาเปิดตลาด EV ในไทยเมื่อเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว และ Mercedes-Benz ค่ายรถยนต์จากเยอรมนีก็ประกาศตั้งโรงงานประกอบแบตเตอรี่ EV ที่ไทยเมื่อปี 2564
แม้ขณะนี้จะมีคนเข้ามาลงทุนมากมาย แต่ก็ชะล่าใจไม่ได้อยู่ดี เพราะว่ายังมีคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินโดนีเซีย เวียดนามเป็นประเทศที่เติบโตเร็ว มีบริษัทรถยักษ์ใหญ่ VinFast เป็นของตัวเอง อีกทั้งยังได้เม็ดเงินด้านการลงทุนในหลายอุตสาหกรรมจากบริษัทต่างชาติ และขณะที่อินโดนีเซียก็มีแร่จำนวนมากที่จำเป็นสำหรับการผลิตแบตเตอรี่รถไฟฟ้าอย่างนิกเกิล รวมทั้งมีตลาดที่ใหญ่ จากประชากรที่มากที่สุดในอาเซียน ราว 273 ล้านคน
ที่มา : bangkokbiznews