Haval H6 PHEV ซึ่งกำลังจะเปิดตัวและเผยราคาอย่างเป็นทางการในวันที่ 7 ตุลาคม เวลา 19.00 ในส่วนของ BYD Atto 3 จะเปิดตัวในวันที่ 10 ตุลาคมเช่นกัน และรุ่นไหนน่าสนใจกว่ากัน มีข้อดีข้อเสียอย่างไรเรามาดูกัน
เปรียบเทียบในเรื่องของระยะทางที่วิ่งด้วยไฟฟ้า (EV)
Haval H6 PHEV เรียกง่ายๆกว่าเป็น “รถปลั๊กอินไฮบริด” ที่สามารถชาร์จไฟและวิ่งด้วย EV Mode (วิ่งด้วยไฟฟ้า 100%) ได้ไกลกว่า 200 กม. (มาตรฐาน NEDC)
ซึ่งระยะทางในการวิ่ง EV Mode อาจคาดเคลื่อนได้หากใช้ในประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตามถือเป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดรุ่นแรกที่เข้ามาทำการตลาดในประเทศไทยและวิ่งได้ไกลที่สุดเท่าที่เคยมีมา
BYD Atto 3 ถือว่าได้เปรียบในด้านชื่อเสียงในวงการแบตเตอรี่ สามารถวิ่งโดยใช้ไฟฟ้า 100% ได้ไกลถึง 410 กิโลเมตร (มาตรฐาน NEDC) ซึ่งก็อาจคาดเคลื่อนได้หากอยู่ในการใช้งานจริงเช่นกัน
แต่เนื่อง “BYD” จากเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีลิขสิทธิ์แบตเตอรี่ของตัวเอง คือ Blade Battery ที่แม้แต่ Tesla ยังต้องการได้ไปใช้งาน ดังนั้นการเปรียบเทียบจึงจะแยกออกเป็นส่วนๆดังนี้
เปรียบเทียบในด้านพละกำลัง (Engine Power)
Haval H6 PHEV เป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ที่สามารถชาร์จไฟได้ รุ่นใหม่ล่าสุดปีนี้ จะมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 เทอร์โบ และเมื่อประกอบกับมอเตอร์ไฟฟ้าแล้วจะได้แรงม้าสูงถึง 326 ม้า
ซึ่งจะมีอัตราเร่งต่างๆที่ตอบสนองได้ดีกับการใช้งานจริง แรงบิดสูงถึง 530 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรภายใน 8.37 วินาที
BYD Atto 3 ซึ่งเป็นรถยนต์ EV 100% ที่พร้อมให้กำลัง 204 แรงม้า ส่วนแรงบิดสูงสุด 310 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรภายใน 7.3 วินาที
เปรียบเทียบในด้านระยะเวลาในการชาร์จไฟ (Charging System)
Haval H6 PHEV แบตเตอรี่ Lithium Ternary ความจุ 34 kWh
ชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC จาก 0-100% ภายใน 6 ชั่วโมง
ชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC จาก 0-80% ภายใน 35 นาที
BYD Atto 3 แบตเตอรี่ BYD Blade Battery Lithium-ion phosphate (LFP) ความจุ 60.4 kWh
ชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสสลับ AC จาก 0-100% 8.30 ชั่วโมง
ชาร์จด้วยไฟฟ้ากระแสตรง DC จาก 30-80% ใช้เวลาเพียง 30 นาที
เปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของรถสองรุ่น ระหว่าง Haval H6 PHEV และ BYD Atto 3
Haval H6 PHEV แน่นอนว่าเป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่ถูกพัฒนาขึ้นมาให้สามารถชาร์จและวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลเพียงพอจะไปต่างจังหวัด , ใช้งานในเมืองได้โดยไม่ต้องใช้น้ำมัน
BYD Atto 3 คือรถยนต์ไฟฟ้า 100% หรือเรียกว่า BEV ไม่สามารถเติมน้ำมันได้ ต้องวางแผนเกี่ยวกับสถานีชาร์จและระบบชาร์จไฟที่บ้านเตรียมพร้อมให้รถสามารถวิ่งได้
หากเทียบกันในส่วนของความสะดวกสบายในประเทศไทยที่ยังไม่มีสถานีชาร์จครอบคลุมมากพอในต่างจังหวัด หรือพื้นที่ห่างไกล ก็จะเอนเอียงไปทางข้อดีของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด เพราะสามารถเลือกใช้ได้ทั้งสองระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบไฮบริดที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง หรือจะวิ่งด้วยไฟฟ้า 100% (EV Mode) ก็สามารถทำได้
ซึ่ง BYD Atto 3 จะมีข้อเสียทันทีหากไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองที่มีสถานีชาร์จ หรือที่บ้านยังไม่ต้องการเปลี่ยนระบบไฟให้รองรับกับ EV Charger หรือเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่บ้าน
ในเรื่องของระยะเวลาในการชาร์จไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้ เนื่องจากเป็นรถยนต์คนละประเภท ซึ่ง BYD Atto 3 จะเหมาะกับคนที่พร้อมสำหรับการติดตั้งสถานีชาร์จที่บ้าน และพื้นที่ในการเดินทางอยู่ในตัวเมืองหรือในกรุงเทพมหานครซึ่งมีสถานีชาร์จครอบคลุมอยู่พอสมควร
ส่วนอัตราเร่ง BYD Atto 3 สามารถทำได้ดีกว่าเนื่องจากเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มีน้ำหนักเบา ไม่ต้องกังวลถึงน้ำหนักตัวรถ เพราะมีน้ำหนักเพียง 1.75 ตัน แต่ในส่วนของ Haval H6 PHEV ได้เพิ่มโครงสร้างตัวถังให้หนาแน่นขึ้นเพื่อรับกับระบบต่างๆที่เพิ่มขึ้น อาจจะทำให้การอัตราเร่งลดลง
ระยะทางในการเดินทางแน่นอนว่าหากเดินทางด้วยไฟฟ้า 100% BYD Atto 3 จะชนะขาดลอยด้วยระยะทาง 480 กม. (มาตรฐาน NEDC) และด้วย Haval H6 PHEV ที่วิ่งได้ราวๆ 200 กม. (มาตรฐาน NEDC) แต่ถ้าเรานึกอีกมุม หากเราใช้ Haval H6 PHEV วิ่งจนไฟฟ้าหมด และวิ่งด้วยน้ำมันต่อจะเพิ่มระยะทางได้มากกว่าเพราะยังมีเทคโนโลยีไฮบริดช่วยประหยัดน้ำมันอีก
สรุปแบบเข้าใจง่ายว่า Haval H6 PHEV อาจเหมาะเป็นรถคันแรกหรือรถคันเดียวของบ้าน แต่ BYD Atto 3 อาจไม่เหมาะกับเป็นรถคันเดียวและรถคันแรกเนื่องจากสถานีชาร์จยังไม่ครอบคลุมมากพอ อีกทั้งต้องมีความพร้อมต่างๆเพื่อเตรียมที่จะใช้รถยนต์ EV
หากสองรุ่นนี้มีราคาใกล้เคียงกัน เชื่อว่าคนจะเลือกรถยนต์ระบบปลั๊กอินไฮบริดมากกว่า ระบบไฟฟ้า 100% อย่าง BYD Atto 3 เนื่องจากเทคโนโลยีของ Haval H6 PHEV ชาร์จไฟและวิ่งด้วยไฟฟ้าที่เพียงพอจะช่วยประหยัดได้ และยังสามารถใช้เชื้อเพลิงน้ำมันได้เมื่อฉุกเฉินหรือไม่มีสถานีชาร์จ
อย่างไรก็ตาม BYD Atto 3 ก็ยังถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงในระยะยาว ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ในอนาคตจะมีสถานีชาร์จครอบคลุม และวางแผนที่จะใช้รถ EV อยู่แล้ว จึงไม่ติดปัญหาเรื่องความพร้อมของบ้าน สามารถปรับปรุงระบบไฟจนสามารถติดตั้ง EV Charger ให้พร้อมใช้งานได้ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร