ขณะนี้บริษัทยานยนต์ทั่วโลกกำลังเร่งพัฒนารถ EV เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้ใช้และแข่งขันกับตลาดที่แข่งกันทั้งหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่หรือเทคโนโลยี ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าอาจมีความอันตรายมากกว่ารถทั่วไปเสียอีก
เหตุผลที่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะอันตรายกว่ารถยนต์ทั่วไปนั้นมีหลากหลายด้าน
แบตเตอรี่ที่เพิ่มน้ำหนักรถหลายเท่าตัว
หากรถยนต์ไฟฟ้ายิ่งมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ขึ้นตามขนาดรถ และเห็นได้ชัดจากรถขนาด SUV หรือรถกระบะ เช่น
Ford F-150 Lightning มีน้ำหนักประมาณ 6,500 ปอนด์ ซึ่งมากกว่ารุ่นที่ใช้น้ำมันถึง 3 เท่า
Hummer EV นั้นมีน้ำหนักถึง 9,000 ปอนด์ เนื่องจากมีแบตเตอรี่ที่หนักกว่า Honda Civic รวมกันทั้งคัน
ซึ่งน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนี้จะสร้างความรุนแรงเพิ่มในระหว่างการชน แน่นอนว่าจะเพิ่มอันตรายต่อคนเดินถนนและผู้ใช้รถยนต์ขนาดเล็กเช่นอีโคคาร์
แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนยังคงมีความอันตรายอยู่ หากผลิตไม่ได้มาตรฐาน
สำนักงานข่าว CNN ได้รายงานว่า แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ไม่ว่าจะอยู่ในรถยนต์ สมาร์ทโฟน หรือรถยนต์ สามารถ ลุกไหม้ได้หากได้รับการผลิตอย่างไม่เหมาะสม เสียหาย หรือใช้งานในทางที่ผิด หรือหากซอฟต์แวร์ที่ปกป้องแบตเตอรี่ไม่ให้ได้รับประจุไฟฟ้ามากเกินไปหรือน้อยเกินไป อาจเกิดความล้มเหลวในการทำงาน
ประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้าที่มากกว่ารถทั่วไปหลายเท่า
แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะมีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ แต่ระบบส่งกำลังไฟฟ้าเหล่านี้ช่วยให้เร่งความเร็วได้เร็วผิดปกติ ตัวอย่างเช่น
เชฟโรเลต Chevy Blazer EV ซึ่งเป็น SUV สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม. ได้ภายในเวลาไม่ถึงสี่วินาที
ซึ่งเป็นความเร็วที่เทียบได้กับพละกำลังสูงอย่าง Dodge Charger หรือ Ford Mustang
และยิ่งไปกว่านั้น Tesla Model X Plaid นั้นทรงพลังยิ่งกว่าโดยทำความเร็วได้ 0-100 กม. ใน 2.5 วิ ซึ่งเร็วจนอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้อย่างง่ายดาย
และบริษัทรถยนต์ทั่วโลกยังใช้ความเร็วที่ว่านี้เป็นจุดขายของรถ ซึ่งนั่นเป็นสัญญานเชิงลบในการขับขี่อย่างปลอดภัย
โหมดขับขี่อัตโนมัติ ความอัจฉริยะที่อาจกลายเป็นอันตราย
อันตรายจากการขับขี่อัตโนมัติ เช่น Autopilot ของ Tesla ซึ่งรถ EV ส่วนใหญ่มีฟังก์ชันการทำงานแบบไร้คนขับหรือแบบอิสระ ยกตัวอย่างเทสลา เรายังได้ยินข่าวสารเกี่ยวกับอุบัติเหตุจากโหมด Autopilot มากมาย เนื่องจากผู้ขับขี่ประมาทจากการใช้โหมดนี้ ขณะนี้ยังไม่มีค่ายไหนสามารถทำได้อย่างสมบูรณ์แบบและยังคงต้องรอการพัฒนาเพิ่มเติม
ความเงียบของมอเตอร์ไฟฟ้า อาจเป็นอันตรายต่อผู้คน
รถ EV แทบไม่ก่อให้เกิดเสียงไม่เหมือนรถยนต์ทั่วไป สิ่งนี้ทำให้เกิดความกังวลด้านความปลอดภัยอย่างมาก เนื่องจากผู้คนอาจไม่ได้ยินเสียงรถที่กำลังขับมา
นิตยสาร Discover ระบุว่า “ความเงียบอาจเป็นอันตรายสำหรับนักปั่นจักรยานและคนเดินถนน ซึ่งอาจไม่ได้ยินเสียงรถแล่นตามหลัง เช่นเดียวกับผู้ที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นซึ่งต้องอาศัยเสียงในการตรวจจับยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนเข้ามาด้วย”
แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่คนเดินถนนหรือนักปั่นจักรยานเท่านั้น แต่ยังเป็นอันตรายต่อเด็กอีกด้วย เพราะเด็กมีแนวโน้มว่าจะวิ่งไปที่ถนนบ่อยครั้ง เห็นได้ชัดจากอุบัติเหตุกับเด็กที่เกิดบนท้องถนนบ่อยครั้งแม้ได้ยินเสียงรถยนต์ทั่วไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อคนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น ซึ่งเป็นยานพาหนะไร้เสียง และเมื่อเวลาขับขันผู้ปกครองอาจไม่ทันสังเกตว่ามีรถวิ่งมาและเผลอปล่อยลูกวิ่งออกไป
ถึงอย่างไรก็ตามรถ EV อีกแง่มุมหนึ่งเราได้ความคิดเห็นจากหัวหน้าดกลุ่ม Digital Addicted ซึ่งมีความรู้ด้านรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอย่างดี ได้ให้ความคิดเห็นไว้ว่า
คนเขียนอาจลืมวิเคราะห์เรื่องของระบบ ADAS (Advanced Driving Asisting System) หรือระบบผู้ช่วยขับอัตโนมัติที่นับวันก็ยิ่งก้าวหน้าขึ้นทุกวันครับ (ล่าสุดไปสู่ Autonomous Level 4 กันแล้ว)
เนื่องจากระบบผู้ช่วยขับ ADAS เป็นซอฟต์แวร์ที่ เข้ากันได้ดีกับรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่ารถยนต์น้ำมันในแง่ของการควบคุมรถจะช่วยลดอุบัติเหตุจากความประมาทเลินเล่อของคนขับได้สูงถึง 99.99% เช่น ง่วงนอน, มองสัญญาณไม่ชัดเจน, อ่อนเพลียจากการขับระยะยาว เป็นต้น
ซอฟแวร์ ADAS ของค่ายคาดิลแลคที่มีชื่อว่า Super Cruise ได้รับ No.1 Ranked ว่าเป็นระบบ ADAS ที่มีส่วนร่วมในการช่วยคนขับขับรถที่ดีที่สุด และ Tesla อยู่ระดับเกือบท้ายสุด
แต่ AutoPilot ของเทสลาก็ได้รับเลือกว่าเป็นเต็งหนึ่งจากผู้ใช้งานทั่วโลกอยู่ดี ถือว่าเป็น ADAS ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในด้านความสามารถและประสิทธิผล
ADAS ยังคงถูกพัฒนากันเรื่อยมาในทุกค่ายรถยนต์ไร้คนขับ เพื่อที่จะขยับเข้าใกล้ระบบการขับขี่ชนิดไร้คนขับ Level 5 ที่เรียกกันว่า Robotaxi ให้ได้สักวันหนึ่ง
ซึ่งในบางเรื่องบริษัทที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าต้องปรับแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อแก้ไขบางจุด เช่น น้ำหนักรถที่มากเกินไปจนอาจเกิดอุบัติเหตุที่อันตราย,ความเงียบของเครื่องยนต์ที่อาจเป็นอันตราย ยกตัวอย่าง เช่น มีการส่งเสียงแตรอัตโนมัติจากระยะไกลหากมีวัตถุหรือคนกำลังจะตัดหน้า ป้องกันการผิดพลาดของ แม้จะมีระบบผู้ช่วยคนขับ ADAS แต่ก็ควรเตือนผู้ใช้อื่นๆบนถนนด้วย ซึ่งแต่ละค่ายก็ได้เริ่มพัฒนาให้ดีขึ้นแต่ขณะนี้อาจยังทำได้ไม่สมบูรณ์แบบเท่าที่ควร
ที่มา : ndakotalaw.com , ผู้เชี่ยวชาญในกลุ่ม Digital Addicted