หลังจากเปิดตัว iOS 16 ในงาน “Far Out” ทางแอปเปิลก็ได้โชว์ฟีเจอร์ใหม่ๆของพวกเขา เช่น การใช้แผนที่ GPS สามารถหยุดได้หลายจุด , อีเมล์สามารถตั้งเวลาได้และติดตามได้ หรือฟีเจอร์อื่นๆซึ่งส่วนใหญ่สมาร์ทโฟนระบบ Android มีมานานแล้ว เรามาดูกันว่ามีอะไรบ้าง
การต่อสู้ด้านเทคโนโลยีกำลังเกิดขึ้น เนื่องจากระบบปฎิบัติการ Android และ iOS ได้มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ล่าสุดก่อน iPhone 14 เปิดตัว Samsung ได้ลงทุนใหญ่ถึงขั้นลงโฆษณาบิลบอร์ด เขียนต้อนรับไอโฟน ว่า
‘Welcome to party , Apple.’ We’ve been filming in 8K for 2 Year 6 month 4 days 28 minutes 51 seconds
โดยป้ายโฆษณานี้ได้พูดแบบเป็นทางการว่า “ยินดีต้อนรับสู่ปาร์ตี้นะ แอปเปิ้ล , ซัมซุงถ่ายวีดีโอชัดระดับ 8K มาสองปีแล้ว”
เราจึงจะมายกตัวอย่างฟีเจอร์ที่ใหม่สำหรับสาวก Apple แต่เก่าแล้วสำหรับสาวก Android
Multiple Stops in Maps การปักหมุดแผนที่ได้หลายจุด
หลายคนคงคุ้นเคยกับ Google Maps ที่สามารถทำได้ตั้งแต่ปี 2016-2017 แล้ว แต่ Apple Maps กำลังจะทำได้ในปีนี้ ซึ่งยังคงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะใช้งานได้ดีกว่าหรือไม่
Email Schedule, Undo, Remind Later, And Follow-Up การเช็กอีเมล์ที่สะดวกรวดเร็วขึ้น
อาจดูล้ำสมัยสำหรับ iOS แต่ระบบ Android สามารถตั้งเวลา และแจ้งเตือนพร้อมกับติดตามและหยุดส่งอีเมล์ได้ตั้งแต่ปี 2018 แล้ว โดยยังสามารถปรับตั้งค่าได้หลากหลายกว่าอีกด้วย
Haptic Feedback on Keyboard การตอบสนองสัมผัสขณะพิมพ์
เป็นสิ่งที่สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์คุ้นเคยกันดีซึ่งแทบจะเป็นฟังก์ชั่นพื้นฐานของสมาร์ทโฟน แต่ iOS เพิ่งจะมีใน iOS 16
Shared Libraries การแชร์คลังรูปภาพ
เดิมที Google Photos ในสมาร์ทโฟน Android สามารถแชร์รูปภาพในคลังรูปภาพให้ได้ไม่จำกัด คล้ายกับการแชร์ไฟล์ใน Google Drive แต่ iCloud Shared Photo Library สามารถแชร์ได้เพียง 5 คน และยังไม่เปิดเผยว่าฟีเจอร์นี้จะใช้ได้งานได้เมื่อไร ซึ่งนี่ก็เป็นอะไรที่ Apple ควรจะมีมานานแล้วเช่นกัน
Always On Display หรือหน้าจอที่สามารถแสดงผลตลอดเวลา
สิ่งนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด เพราะแอนดรอยด์มีมากว่า 10 ปีแล้ว และฟีเจอร์นี้สามารถใช้ได้กับทุกรุ่น แต่ Apple เปิดให้ Always On Display ใช้ได้กับรุ่น iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max เท่านั้น ก่อนหน้านี้เราคงคุ้นเคยกับหน้าจอสีดำของไอโฟนเมื่อเวลาไม่ใช้งาน
Phone Fitness App แอปพลิเคชันฟิตเนส
เป็นสิ่งที่แอปเปิลใส่ไว้ใน Apple Watch มาเป็นเวลานาน แต่ถ้าหากไม่มี Apple Watch ก็ไม่สามารถใช้ Apple Fitness Plus ได้ เทียบกับฝั่งของ Android แอปฯ Fit Fitness ได้มีมานานและไม่จำเป็นต้องใช้นาฬิกาก็สามารถใช้งานได้ แต่อย่างไรก็ตามก็ใช้ได้บางฟีเจอร์ เช่น นับก้าวการเดิน,แคลอรี่ที่เผาผลาญ
Crash Detection การตรวจจับการชนหรือกระแทก
ระบบ Crash Detection ที่ช่วยรักษาความปลอดภัยและป้องกันเหตุฉุกเฉิน เพิ่งจะถูกใส่มาใน iPhone 14 ในปีนี้ ในขณะที่สมาร์ทโฟน Google Pixel ที่ใช้ระบบปฎิบัติการแอนดรอยด์ มีการตรวจจับการชนหรือ Crash Detection ด้วย Google เพิ่มลงในแอป Personal Safety ตั้งแต่ในปี 2019
High-Megapixel Camera Sensor With Pixel Binning กล้องความละเอียดสูงและเทคนิค Pixel Binning
เราได้เห็นกล้องความคมชัดสูงๆ เซ็นเซอร์คุณภาพอยู่ในสมาร์ทโฟน Android มานานแล้ว และเทคนิคที่จะถูกนำมาใช้ใน iPhone 14 เป็นเทคโนโลยี Pixel Binning ที่มีมานานแล้วตั้งแต่ยุค Nokia 808 ซึ่งเปิดตัวในปี 2012
อย่างไรก็ตามฟีเจอร์ต่างๆของแอปเปิลอาจมีความแตกต่างในตัวซ่อนอยู่ จึงต้องใช้เวลาพัฒนามากกว่าแอนดรอยด์ แต่อย่างไรก็ตามคนที่ชื่นชอบเทคโนโลยีก็ชอบความรวดเร็วในการอัปเดตเช่นกัน
และนี่คือสงครามของฝั่งตลาดสมาร์ทโฟนที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดในด้านเทคโนโลยีและไอเดียความคิด ซึ่งไอเดียในการนำเสนอของแอปเปิลอาจทำให้หลายคนถูกใจฟีเจอร์ใหม่ๆ แต่แอนดรอยด์นั้นก็ต้องหันมาพัฒนาการโปรโมทฟีเจอร์ใหม่ๆของตัวเองเพื่อต่อสู้เช่นกัน