FTX อดีตศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) อันดับต้น ๆ ของโลก ดำเนินธุรกิจโดย Sam Bankman-Fried, CEO และมีเหรียญที่ขับเคลื่อนระบบนิเวศน์ใน Exchange ชื่อว่าเหรียญ “FTT”
เหตุการณ์ FTX คือเรื่องราวเริ่มต้นจากที่ Changpeng Zhao (CZ) CEO ของ “Binance” ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอันดับ 1 ของโลก ประกาศว่าจะมีการขายเหรียญ FTT โดยให้เหตุผลว่า “เคยลงทุนใน FTX ไปแล้วได้รับผลตอบแทนมาเป็น BUSD และ FTT และปัจจุบันไม่ได้ลงทุนแล้ว จึงทำการขายเหรียญ ไม่แกล้งถือเหรียญให้เหมือนว่ายังรักกัน” เพื่อความโปร่งใสจึงต้องการแจ้งให้ทุกคนทราบ และจะพยายามให้กระทบตลาดน้อยที่สุด เหตุการณ์นี้จึงทำให้มีหลายสำนักข่าวพาดหัวออกไปว่า สงครามระหว่าง FTX และ Binance เกิดขึ้นแล้ว!!
หลังจากนั้นโลกโซเชียลเริ่มขุดค้นว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นต้นเหตุให้สำนักข่าว Coinbase ไปดูงบดุลของ “Alameda Research” ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ FTX Group แล้วรายงานว่า งบดุลของบริษัทดังกล่าวมีเหรียญ “FTT” อยู่เกินครึ่ง และมีการกู้ยืมเงินมหาศาล ซึ่งหากราคาเหรียญ FTT ร่วง อาจเป็นสาเหตุให้โดน Liquidate ได้ ซึ่งนับว่าผิดปกติ เพราะก่อนหน้านี้มีข่าวว่า Sam Bankman-Fried จะไปซื้อบริษัทต่าง ๆ ซึ่งก็ดูไม่ได้ขาดสภาพคล่องแต่อย่างใด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
เมื่อหลายคนเริ่มแคลงใจ แน่นอนว่าราคาเหรียญ FTT ปรับตัวร่วงลงแรง และเหตุนี้เองที่ทำให้บรรดาเหล่าโซเชียลต่างไปคุดคุ้ยเรื่องราวของ Sam Bankman-Fried กับสถานการณ์ของ FTX ว่าตอนนี้มีปัญหาเรื่องการเงิน (สภาพคล่อง) รึเปล่า
พอข่าวที่ไม่ดีเกี่ยวกับ FTX เริ่มแพร่กระจายออกไปเป็นวงกว้าง เหล่านักเทรดต่างพากันโอนเหรียญออกจาก FTX และจากจำนวนธุรกรรมที่เกิดขึ้นจำนวนมากพร้อม ๆ กัน การทำธุรกรรมต่าง ๆ ก็ยิ่งช้า ถอนเงินออกก็ช้า จากปกติโอนเหรียญไม่เกิน 10 นาที กลายเป็นใช้เวลาเป็นชั่วโมง แถมมีการปิดระบบการถอนเหรียญโดยไม่แจ้งล่วงหน้า และเปิดให้บริการถอนเหรียญอีกครั้ง ซึ่งก็สอดคล้องกับข่าวที่ว่า FTX ประสบปัญหาทางการเงินพอดี
หลังจากที่ Changpeng Zhao (CZ) ทวีตว่าจะขายเหรียญไม่นาน Caroline Ellison, CEO ของ Alameda Research ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเดียวกันกับ FTX ก็ทวีตตอบโต้ทันที ว่าถ้าอยากขาย ก็พร้อมจะรับซื้อคืนที่ 22 ดอลลาร์ ซึ่งภายหลังก็ได้มีการลบทวีตนี้ไป ในขณะที่ราคาเหรียญ FTT ก็ร่วงลงเรื่อย ๆ
จากนั้น ทาง Changpeng Zhao (CZ) ได้ออกมาทวีตอัพเดตสถานการณ์ ว่าจะมีการเข้าซื้อกิจการของ FTX แต่ต้องทำการสอบทานธุรกิจตรวจสอบประเมินผลทรัพย์สิน (Due Diligence) ก่อน ซึ่งก็ตรงกับทวีตของ Sam Bankman-Fried แต่พอดูเนื้อในแล้วพบว่าคือ Non-Binding ซึ่งแปลว่าไม่มีภาระผูกพันทางกฎหมาย หมายความว่าหาก Due Diligence ไม่สมบูรณ์หรือมีอะไรผิดพลาด ก็อาจทำให้การเข้าไป take กิจการในครั้งนี้ ไม่เกิดขึ้นนอกจากนี้บางสายข่าวก็บอกว่าตามกฎหมายไม่สามารถทำได้ เพราะจะเป็นการควบรวมตลาดเพียงผู้เดียว
ซึ่งไม่นาน Changpeng Zhao (CZ) ก็ได้ประกาศชัดเจนว่าจากการทำ Due Diligence ทาง Binance ตัดสินใจว่าจะไม่ทำการเข้าซื้อกิจการ
ปัจจุบัน FTX ประกาศล้มละลายภายใต้ Chapter 11 (ว่าด้วยการปรับโครงสร้างหนี้) เป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา โดย Sam Bankman-Fried ประกาศลาออก และมีการแต่งตั้ง John J. Ray III ให้เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ FTX Group เตรียมปรับโครงสร้างบริษัท และหาทางเยียวยาผู้เสียหายต่อไป
แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น FTX ออกมาประกาศว่าแพลตฟอร์มถูกแฮ็ก โดยตรวจพบการโอนเงินกว่า 477 ล้านดอลลาร์ออกจากแพลตฟอร์มโดยไม่ทราบที่มาที่ไป พร้อมแจ้งผู้ใช้งานลบแอปพลิเคชันโดยทันที และวันที่ 13 พฤศจิกายน 2565 พบว่าเหรียญ FTT มีการเพิ่มจำนวนขึ้น (Supply) โดยไม่ทราบสาเหตุเป็นจำนวนมาก ทำให้ Binance ทำการปิดรับฝากเหรียญทันที และจะลบทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ FTT ออกให้หมด ในขณะที่ BITKUB ได้ทำการปิดฝากเหรียญ (12 พ.ย. 2565) และเพิกถอนเหรียญ FTT ออกจากกระดานซื้อขายเป็นการถาวร (14 พ.ย. 2565)
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้เกิดแพนิคทั่วโลก และยิ่งเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อตลาดคริปโทฯ อาจก่อให้ความปั่นป่วนในด้านราคา โดยราคา Bitcoin มีแนวโน้มจะร่วงแตะระดับ 13,000 ดอลลาร์ อีกทั้ง BlockFi, Genesis และ Wintermute เป็นรายชื่อที่กำลังถูกจับจ้องว่าจะได้รับผลกระทบจากการล้มของ FTX มากที่สุด
นางสาวฟรานเชสก้า รุสโซ่ ผู้ก่อตั้ง Crypto Meetup Thailand คอมมูนิตี้ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ด้าน คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ให้ความเห็นว่า อุตสาหกรรมคริปโทฯ ประกอบไปด้วยผู้คน และองค์กร ผู้เล่นที่หลากหลาย ทุกคนก็เป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้ทั้งนั้น ซึ่งเหตุการณ์นี้นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนทั้งวงการ เพราะว่า FTX เอง ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Solona Chain ที่มีเหรียญ SOL เป็นเหรียญขับเคลื่อนหลัก
ที่ผ่านมาธุรกิจในอุตสาหกรรมบล็อกเชน มีหลายครั้งที่เกิดความผิดพลาด รวมทั้งวิกฤตที่เกิดขึ้นก็เกิดจากหลายปัจจัย ดังนั้น การเก็บรักษาเหรียญที่ดีที่สุด คือการเก็บเหรียญไว้กับตัวเอง หรืออาจเก็บไว้ใน Hardware Wallet ก็ได้ ซึ่งตรงนี้เทคโนโลยีของ Web3 ก็จะมีส่วนช่วยได้มาก ซึ่งคาดว่า Web3 ก็จะเป็นเวฟต่อไปในอุตสาหกรรมคริปโทฯ
สำหรับหลายคนที่ใช้กระดานเทรด FTX และไม่สามารถโอนเหรียญออกมาได้ ทาง Crypto Meetup ขอแสดงความเสียใจ และให้กำลังใจในการก้าวต่อไปเริ่มต้นใหม่ ตัดสินใจลงทุนอยู่บนข้อมูลปัจจุบัน เพราะการลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความรู้ที่นักลงทุนมีเกี่ยวกับการลงทุนนั้น ๆ หากไม่ศึกษาทำความเข้าใจ ความเสี่ยงก็จะยิ่งมากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่อยากให้นักลงทุนสายคริปโทฯ พึงทำเป็นประจำก็คือการติดตามข่าวสาร ให้ทันกับสถานการณ์ การศึกษาพื้นฐานของแต่ละเหรียญเป็นสิ่งสำคัญ อย่าลงทุนในเหรียญที่ไม่รู้จักดี และที่สำคัญที่สุด การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนพึงระวัง และกระจายความเสี่ยงจัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสม
ที่มา : Crypto Meetup Thailand