พรีเมียร์ลีก ปิดฉากลงไปแล้ว และมีบทสรุปและสถิติที่น่าสนใจอย่างมากมาย และนี่ถือเป็นฤดูกาล 1 ฤดูกาลเต็มๆ ที่ต้องเล่นกันในภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ด้วย ซึ่งฤดูกาลนี้ต้องขอแสดงความยินดีกับแมนฯซิตี้ ที่กลับมาทวงบัลลังก์แชมป์ได้อีกครั้ง และเป็นแชมป์สมัยที่ 7 ของสโมสร
1. บทสรุป : - แชมป์พรีเมียร์ลีก : แมนเชสเตอร์ ซิตี้
โควตาเตะ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก (อันดับ 1-4) : แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อันดับ 1 , แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อันดับ 2 , ลิเวอร์พูล อันดับ 3 , เชลซี อันดับ 4
โควตาเตะ ยูฟ่า ยูโรปา ลีก (อันดับ 5-6) : เลสเตอร์ ซิตี้, เวสต์แฮม ยูไนเต็ด
โควตาเตะ ยูฟ่า คอนเฟอเรนซ์ ลีก (อันดับ 7) : ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
ตกชั้น (อันดับ 18-20) : ฟูแล่ม, เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน , เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด
2. แมนฯซิตี้ ถือได้ว่ากลับมาเป็นแชมป์ลีกสูงสุดเป็นสมัยที่ 7 หลังจากว่างเว้นไปหนึ่งฤดูกาลให้กับลิเวอร์พูล นอกจากนี้ฤดูกาลนี้ ยังเป็นการปิดฉากดาวยิงตำนานของทีมอย่างเซร์คิโอ อเกวโร่ อีกด้วย ซึ่งนัดสุดท้าย ลงมายิง 2 ประตู ในเกถล่มเอฟเวอร์ตัน 5-0 นั่นทำให้ "กุน อเกวโร่" ทำสถิติยิงให้กับสโมสรแมนฯซิตี้ 260 ประตู จากการลงเล่น 389 เกมให้สโมสรแห่งนี้ นับเป็นการปิดฉากสุดท้ายที่สวยงาม และคาดว่า อเกวโร่ จะมุ่งหน้าที่สู่สโมสรบาร์เซโลน่าต่อไป
นอกจากนี้ เอแดร์ซอน ผู้รักษาประตูของ แมนฯ ซิตี้ ยังคว้ารางวัลถุงมือทองคำไปครองได้เป็นปีที่สองติดต่อกัน หลังเก็บคลีนชีทในลีกซีซั่นนี้ไป 19 เกม ส่วนอันดับ 2 เป็นของ เอดูอาร์ เมนดี้ ของ เชลซี ที่เก็บคลีนชีทได้ 16 เกม
3. เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือแมนฯซิตี้ กลายเป็นกุนซือที่ยิ่งใหญ่มากๆ เพราะเขาทำสถิติคุมทีมสโมสรใน 3 ประเทศ ทั้งที่บาร์เซโลน่า ที่สเปน , บาเยิร์น มิวนิค ที่เยอรมนี และ แมนฯซิตี้ ที่อังกฤษ และทั้ง 3 ทีม ได้แชมป์ลีกสูงสุด ได้ถึง 3 ปี
4 . รางวัลรองเท้าทองคำ ตกเป็นของ แฮร์รี่ เคน กองหน้าทีมชาติอังกฤษของสเปอร์ส จากการยิงไปทั้งสิ้น 23 ประตู เฉือนชนะโมฮาเหม็ด ซาลาห์ 1 ประตู และนอกจากนี้ เคนยังได้รางวัล จอมแอสซิสต์ของฤดูกาลด้วย จากการจ่ายให้เพื่อนยิงไปทั้งสิ้น 14 ประตู และนี่คือสมัยที่ 3 ที่แฮร์รี่ เคนได้รางวัลนี้ ต่อจากฤดูกาล 2015-2016 และ 2016-2017 อย่างไรก็ตาม แฮร์รี่ เคน ก็ได้ขอขึ้นบัญชีย้ายทีมแล้ว เพราะแม้จะประสบความสำเร็จจากสถิติส่วนตัว แต่สโมสรแห่งนี้ยังไม่มีแชมป์ติดมือเลย ในยุคที่เขาอยู่กับทีม
5 . แมนฯยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทีมของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา กลายเป็นทีมที่ 4 ในหน้าประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ที่จบฤดูกาลแบบไม่แพ้เกมเยือนเลยแม้แต่นัดเดียว หลังปิดฉากพรีเมียร์ลีก ซีซั่น 2020/21 ด้วยการบุกไปเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน 2-1
โดยสถิตินี้ ยากที่จะทำให้ได้ โดย แมนฯยูไนเต็ด ทำได้ต่อจาก เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ (ซีซั่น 1889/89), อาร์เซน่อล (ซีซั่น 2001/02) และ อาร์เซน่อล อีกครั้ง (ซีซั่น 2003/04)
6 . ลิเวอร์พูล แชมป์เก่าจากซีซั่นที่แล้ว ต้องเจอกับมรสุม ตลอดทั้งซีซั่น แต่สุดท้ายได้ไปยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อย่างน่าชื่นชม โดยในช่วงกลางฤดูกาล หงส์แดง เจอสถิติแพ้คารัง แอนฟิลด์ 6 นัดติดต่อกัน เริ่มตั้งแต่แพ้เบิร์นลี่ย์,ไบรท์ตัน,แมนฯซิตี้ ,เอฟเวอร์ตัน,เชลซี และฟูแล่ม ซึ่งนี่ถือเป็นสถิติที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร แต่สุดท้ายพวกเขาก็พลิกมาได้อันดับ 3 อย่างน่าชื่นชม อีกทั้ง ตัวหลักอย่าง เวอร์จิล ฟาน ไดค์ ไม่ได้ลงเล่นถึง 33 เกม,โจ โกเมซ พลาดเล่น 31 เกม , โจแอล มาติป และ นาบี เกอิต้า พลาด 28 เกม,ดีเอโก้ โจต้า 19 เกม และกัปตันทีมอย่างจอร์แดน เฮนเดอร์สัน ชวดลงสนามถึง 17 เกม
7 . ระหว่างฤดูกาล มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งกุนซือหรือผู้จัดการทีม 4 คน ได้แก่ สโมสรเวสต์บรอมวิช ที่ปลดสลาเวน บิลิช และ และแต่งตั้ง แซม อัลลาไดซ์มาคุมทีมแทน แต่สุดท้ายทีมก็ไม่รอดการตกชั้นอยู่ดี
คนที่ 2 ที่โดนปลดคือ แฟรงค์ แลมพาร์ด จากเชลซี และได้โทมัส ทูเคิล มาคุมทีมแทน ก่อนที่จะคว้าโควตาแชมเปี้ยนส์ ลีกไปได้ในบั้นปลาย
คนที่ 3 ที่ตกเก้าอี้ คือ คริส ไวเดอร์ ของเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด และสโมสรพอล ฮิกกิ้นบ็อตธ่อม มาคุมทีมชั่วคราวในช่วงท้ายฤดูกาล แต่สุดท้ายก็จบที่บ๊วยของตาราง
ส่วนคนสุดท้ายที่โดนปลดกลางคัน คือ โจเซ่ มูรินโญ่ ของสเปอร์ส และทีมได้แต่งตั้ง ไรอัน เมสัน มาคุมทีมแทนในช่วงกลางเดือนเมษายน
8. เลสเตอร์ ซึ่งถึงแม้จะคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ประวัติศาสตร์ของสโมสร ต้องอกหักในช่วงโค้งสุดท้ายชวดไปยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นซีซั่นที่ 2 ติดต่อกัน เมื่อ จิ้งจอกสยาม หล่นไปอยู่อันดับ 5 ทั้งที่ความจริงแล้ว เลสเตอร์อยู่ในพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นานถึง 242 วัน แต่มาหล่นร่วงจากโควตาในวันสุดท้ายอีกครั้ง
ฤดูกาลนี้ เลสเตอร์อยู่ในพื้นที่แชมเปี้ยนส์ลีก นานที่สุดในทุกทีมด้วยซ้ำ โดยเลสเตอร์อยู่นาน 242 วัน,แมนฯยูไนเต็ด อยู่ 155 วัน,ลิเวอร์พูลอยู่ 139 วัน,แมนฯซิตี้ อยู่ 130 วัน , เชลซีอยู่ 102 วัน และ เอฟเวอร์ตันได้อยู่ในพื้นที่ 4 อันดับแรกอยู่ 63 วัน
ขณะที่ อาร์เซน่อล ซึ่งจบด้วยอันดับที่ 8 ตามหลังพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 6 คะแนน และพวกเขาต้องพลาดการไปเล่นฟุตบอลยุโรปทุกถ้วย เป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปีด้วย
9. สามสโมสรที่ต้องร่วงลงไปเล่นในลีกรอง เดอะแชมเปี้ยนชิพ ก็คือ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่ฟอร์มรูดจากฤดูกาลที่แล้วอย่างน่าเหลือเชื่อ, เวสต์บรอมวิช ที่แม้จะได้ "บิ๊กแซม" แซม อัลลาร์ไดซ์ มาคุมทัพในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลแต่ก็ยังไม่สามารถช่วยพวกเขาจากฟอร์มอันย่ำแย่ได้ และ ฟูแล่ม
สำหรับ แซม อัลลาไดซ์ ของเวสต์บรอมวิช ถือเป็นการทำทีมตกชั้น เป็นครั้งแรกในชีวิตด้วย ทั้งที่ 20 กว่าปีที่ผ่านมา เขาเครดิตดีในเรื่องการพาทีมหนีตกชั้นมาโดยตลอด
10. ด้านสโมสรที่เลื่อนชั้นขึ้นมาพรีเมียร์ลีกก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลแต่เป็น นอริช ซิตี้ และ วัตฟอร์ด ที่คว้าสิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้นมาแบบอัตโนมัติ ส่วนทีมสุดท้ายที่จะได้ตั๋วไปเล่นในลีกสูงสุดยังคงต้องไปลุ้นกันในเกมเพลย์ออฟนัดสุดท้ายระหว่าง เบรนท์ฟอร์ด และ สวอนซี ซิตี้ ในวันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคมนี้