ทุกคนคุ้นเคยกับการเผาศพคนที่เสียชีวิตด้วยไฟ ซึ่งเราได้เห็นควันจากปล่องควันตามที่วัดมากมาย แต่ในต่างประเทศได้ให้ความใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อม เราลองมาดูนวัตกรรม Resomator เตาเผาศพที่ใช้การเผาด้วยน้ำ ไร้มลพิษ และยังไม่ก่อคาร์บอนไดออกไซด์อีกด้วย
ในโลกปัจจุบันที่ระบบนิเวศและอนาคตของโลกกำลังถูกทำลายอย่างหนักจากจำนวนประชากรและการใช้ทรัพยากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เราต้องพิจารณาทางเลือกของเราอย่างรอบคอบมากขึ้น แม้กระทั่ง “การเผาศพ”
การเลือกการเผาน้ำเหนือการเผาไฟและการฝังศพนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล และในบางกรณีก็ขึ้นอยู่กับประเพณีหรือความเชื่อทางศาสนา แต่ในเมื่อวิกฤติโลกได้เกิดขึ้นมากมาย
ความคิดความเชื่อเหล่านี้อาจต้องถูกคัดค้านด้วยมลภาวะที่เกิดจากการทำตามพิธีทางศาสนาต่างๆ เช่นบวงสรวงบูชา มีการสร้างคาร์บอนไดออกไซด์และสารต่างๆมากมายจากการจุดไฟ จุดธูปต่างๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
ร่างกายมนุษย์ขนาดเฉลี่ยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 27 กิโลกรัมสู่ชั้นบรรยากาศในระหว่างการเผาศพ และถึงแม้จะปรับปรุงเมรุเผาศพแล้ว ก็สามารถสร้างกากก๊าซได้ ซึ่งเป็นอันตรายต่อบรรยากาศ ในทางกลับกัน การฝังศพทำให้เกิดรอยเท้าทางนิเวศวิทยาที่ใหญ่ขึ้น และส่งผลให้เกิดการปล่อย CO2 เทียบเท่ากับการเผาศพ 3.6 ครั้ง
แต่หนึ่งในพิธีที่เกิดขึ้นบ่อยของคนไทยก็คือการเผาศพผู้เสียชีวิตที่วัด หรือที่เราเรียกกันว่า “เมรุ” นั่นเอง เนื่องด้วยประเทศไทยก็คุ้นเคยการฒาปณกิจศพที่วัดกัน แต่ในต่างประเทศได้มีเทคโนโลยีใหม่ที่เขาได้คิดค้นการเผาศพด้วยน้ำขึ้นมา ซึ่งจะช่วยลดทั้งมลภาวะจากการเผา และยังไม่ก่อให้เกิดควันรบกวนใจอีกด้วย
Resomation หรือที่เรียกว่า Biocremation หรือ Green Cremation ใช้กระบวนการไฮโดรไลซิสอัลคาไลน์เพื่อลดซากศพให้เป็นฝุ่นในเวลาเพียงสามถึงสี่ชั่วโมง โดยใช้พลังงานที่จำเป็นสำหรับการเผาศพหนึ่งในแปดและลดการปล่อยคาร์บอน 35%
ขั้นแรก ศพจะถูกวางไว้ในโลงศพหรือผ้าห่อศพที่ทำจากวัสดุที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ ก่อนที่จะวางอย่างระมัดระวังในเครื่อง
เครื่องเผาศพน้ำหรือแคปซูล Resomation เป็นระบบแรงดันที่โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์และน้ำผสมกันที่อุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส “แทนที่จะใช้ไฟ เราใช้น้ำและสารที่เป็นด่าง มันคือน้ำประมาณ 95% ที่ความดันสูงและอุณหภูมิสูง และสารเคมีนี้ช่วยลดร่างกายให้เป็นเถ้า และขี้เถ้าสีขาวบริสุทธิ์ที่สิ้นสุดกระบวนการจะส่งคืนให้ญาติ ๆ เช่นเดียวกับที่ทำในพิธีเผา”
การเผาศพด้วยน้ำ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าามีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดหรือแทบไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเลย เมื่อเทียบกับการฝังศพและการเผาด้วยเปลวเพลิง เพราะการเผาศพด้วยไฟปกติแล้วจะสร้างทั้งอนุภาคในอากาศที่เป็นอันตราย การปล่อยสารปรอทจากมัลกัมทางทันตกรรม และการใช้พลังงานสูงทำให้เกิดคาร์บอนจำนวนมาก และส่งผลต่อก๊าซเรือนกระจกและการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศตามมา
แต่นั่นอาจเพียงพอที่จะให้แต่ละคนเลือกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบรรดาผู้ที่ใช้ชีวิตด้วยความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเฉียบขาด และความห่วงใยต่อโลกของเรา และได้นำทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกลับมาใช้ใหม่อย่างต่อเนื่องซึ่งส่งผลกระทบน้อยที่สุดต่อสิ่งแวดล้อม
การเผาศพด้วยน้ำ ยังเป็นทางเลือกที่ทั้งรักษาสิ่งแวดล้อมและให้ความรู้สึกที่ดีกว่าการเผาศพด้วยเปลวเพลิง แม้ในวาระสุดท้ายของชีวิตคนเราก็ก็ยังสามารถส่งผลกระทบในขั้นสุดท้ายต่อโลกของเราได้
สำหรับบุคคลคนหนึ่งที่อาจไม่ได้ให้ความรู้สึกแตกต่าง แต่ปัจจุบันมีผู้คนมากกว่า 7 พันล้านคนบนโลกใบนี้และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและคาดว่าจะถึง 9 พันล้านคนภายใน 20 ปี โดยรวมแล้ว ทางเลือกในอนาคตของเราสามารถสร้างความแตกต่างได้ หากเปลี่ยนมาใช้การเผาศพด้วยน้ำ
การเผาศพในน้ำได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นทางเลือกที่นิยมสำหรับผู้คนในต่างประเทศ และได้รับการอนุมัติตามกฎหมายใน 15 รัฐของสหรัฐอเมริกา ในสหราชอาณาจักร แผนการที่จะแนะนำให้ผู้คนหันมาเลือกใช้การเผาศพด้วยน้ำกำลังคืบหน้าในเร็วๆนี้