กระติก มีที่มาอย่างไร ต้นกำเนิดภาชนะบรรจุน้ำ - น้ำแข็ง ในประวัติศาสตร์โลก และประเทศไทย ปัจจุบันพัฒนาไปไกลจนถึงขั้นกักเก็บความเย็นได้แบบยาวนาน
หลักฐานการใช้ภาชนะจากธรรมชาติเมื่อ 60,000 - 100,000 ปีที่แล้วพบ "เปลือกไข่นกกระจอกเทศ" ในทะเลทรายคาลาฮารี ทวีปแอฟริกาใต้ และมีการเจาะรูเพื่อใช้ดื่ม จะเรียกว่าเป็น "กระติกน้ำ" ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกก็ได้
ต่อมา ประมาณ 20,000 ปีที่แล้วเริ่มพบหลักฐานว่ามนุษย์โบราณใช้ เปลือกหอย ใบไม้ ลูกน้ำเต้า หนังสัตว์ เป็นภาชนะในการดื่ม หรือกักเก็บน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติ ก่อนจะพัฒนามาเป็นภาชนะดินเผาอ้างอิงตามบันทึกหลักฐานภาชนะในประวัติศาสตร์
หลักฐานในประเทศไทยพบแหล่งโบราณคดีบ้านเชียงเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว นักโบราณคดีพบว่า ภาชนะดินเผาเหล่านี้ ถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้งานในครัวเรือน เป็นภาชนะบรรจุอาหาร และน้ำดื่ม รูปทรงแตกต่างกันไปทั้งโถ ไห ที่มีรูปทรงคล้ายกระติกน้ำในปัจจุบัน Cr. ข้อมูลจาก หนังสือ ภาชนะดินเผายุคก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย โดย รศ.ดร. ธนิก เลิศชาญฤทธ์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
หนุ่ม กรรชัย แนะ กระติก คืนสิทธิเงินล้านให้แม่ วอนสังคมหยุดพาดพิงเด็ก
3 เรื่องชวนสงสัย? หลัง แตงโม นิดา ตกเรือ กระติก พูดเรื่องไหนจริงบ้าง?
ต่อมาประมาณ 3,500 ปีต่อมา เริ่มมีใช้ภาชนะถ้วย ชาม ไห รูปทรงคล้ายกระติก ที่ผลิตจากเซรามิก และแก้วขึ้นรูป เพิ่มทางเลือกในการใช้งานหลากหลาย ยกระดับกระบวนการเก็บรักษาอาหารขึ้นไปอีกขั้น
จากนั้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 มาจนถึงปัจจุบันถือว่าภาชนะที่มนุษย์ใช้ในการดำรงชีวิตพัฒนาถึงขีดสุดด้วยวัสดุที่เหมาะสมกับการใช้งานแต่ละแบบ อาทิ โฟม อลูมิเนียม พลาสติก ขวดพลาสติก รวมถึง กระติกน้ำ ที่มีหลายขนาดทั้ง กระติกสะพายข้าง, กระติกน้ำแข็ง, กระติกน้ำร้อน/เย็น หรือแก้วสแตนเลส คุณสมบัติกักเก็บความเย็นคงทน มีหลากหลายแบบทั้งขนาดใหญ่ หรือพกพาสะดวกมากมาย
คุณสมบัติกระติก (น้ำ) ที่ดี
- ทนทานแข็งแรง
- น้ำหนักเบา
- กักเก็บความร้อน/เย็นได้ยาวนาน
- หูจับใช้งานสะดวก ไม่ติดขัด
- ฝาปิดแน่น เปิดใช้ง่าย
- ระบายอากาศได้ดี ไม่สกปรก
* ทั้งนี้ควรเลือกกระติกให้เหมาะกับการใช้งานแต่ละประเภท ไม่เช่นนั้นอาจไม่ตอบโจทย์ความสะดวกการใช้ในชีวิตประจำวัน หรือก่อให้เกิดอันตรายต่อตัวผู้ใช้
Cr. Wikipedia , hongthaipackaging.com , ภาพปก panunionthai.com