เผยผลสำรวจความคิดเห็นนักท่องเที่ยว 14 ประเทศ รวมถึงนักท่องเที่ยวขาวไทย เกี่ยวกับมุมมองด้านการท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม จากรายงาน เทรนด์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 2021 ซึ่งจัดทำโดย agoda
ผลจากการรณรงค์ให้คนไทยลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา กำลังเป็นไปในทิศทางที่ดี แต่เมื่อโรคโควิด 19 ระบาด ขยะพลาสติกและอีกสารพัดขยะเพิ่มจำนวนมหาศาล และยิ่งประเทศไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินมาตรการส่งเสริม การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะหลังวิกฤตโควิด 19 ผ่านพ้น หรือเกิด Herd Immunity จนสามารถอยู่ร่วมกันได้
เทรนด์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 2021 รายงานนี้สะท้อนอะไร
agoda สตาร์ทอัพที่พัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อรองรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เผยผลสำรวจในหัวข้อ เทรนด์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน 2021 (Agoda Sustainable Travel Trends Survey 2021) ที่จัดทำผ่านช่องทางออนไลน์ ระหว่างวันที่ 10 - 28 พฤษภาคม 2564 ว่าชี้ให้เห็นถึงผลกระทบจากการท่องเที่ยวต่อสิ่งแวดล้อมที่นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญมากที่สุด ได้แก่ 1.) การท่องเที่ยวมากเกินที่แหล่งท่องเที่ยวจะรับได้ 2.) มลพิษและสิ่งปฏิกูลตามชายหาดและแหล่งน้ำ และ 3.) การตัดไม้ทำลายป่าเพื่อการท่องเที่ยว 4.) การใช้พลังงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และ 5.) การใช้สิ่งอำนวยความสะดวกที่บรรจุในภาชนะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งในที่พัก
สำหรับการสำรวจนี้ agoda ได้ข้อมูลจาก YouGov Singapore PTE Limited และจากแหล่งอื่นๆ โดยกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 18,327 คน จาก 14 ประเทศ/เขตปกครองตนเอง
จากการสำรวจมาตรการเสริมที่นักท่องเที่ยวลงความเห็นว่า น่าจะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมากที่สุด 3 ข้อคือ
1.) ระบุตัวเลือกการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ง่าย
2.) จำกัดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
3.) เสนอสิ่งจูงใจทางการเงินแก่ผู้ให้บริการที่พักที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ตามมาด้วยมาตรการอย่าง การสร้างพื้นที่คุ้มครองให้มากขึ้นเพื่อจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว และการเลิกใช้ผลิตภัณฑ์อำนวยความสะดวกในห้องพักและห้องน้ำแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง
การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนจะเกิดมากกว่านี้ หาก...มีบทบาทมากขึ้น
นักท่องเที่ยวที่ตอบแบบสำรวจลงความเห็นตรงกันทั่วโลกว่า เป็นหน้าที่ของ หน่วยงานภาครัฐ (#1) ในการจะสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ตามมาด้วย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว (#2) และ ตัวนักท่องเที่ยวเอง (#3) โดยผู้ตอบแบบสำรวจในอินโดนีเซีย (36%) สหราชอาณาจักร (36%) จีน (33%) ออสเตรเลีย (28%) และมาเลเซีย (27%) ลงความเห็นว่า ภาครัฐต้องเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการสร้างการเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวชาวไทย (30%) ญี่ปุ่น (29%) และสหรัฐอเมริกา (28%) มองว่าความรับผิดชอบนั้นควรเริ่มต้นจากตัวนักท่องเที่ยวเองในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ซึ่งตรงข้ามกับนักท่องเที่ยวชาวจีน (11%) สหราชอาณาจักร (13%) และเวียดนาม (14%)
แนวปฏิบัติแบบนี้ดี เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เมื่อถามนักท่องเที่ยวว่า หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ดีขึ้น นักท่องเที่ยวจะท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนขึ้นอย่างไร คำตอบของนักท่องเที่ยว โดยเรียงตามลำดับตามความนิยม มีดังนี้
1.) จะจัดการขยะของตนเอง รวมถึงจะหลีกเลี่ยงการใช้ถพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
2.) จะปิดแอร์ และไฟเมื่อออกจากห้องพัก
3.) จะเลือกใช้บริการที่พักที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า แม้การท่องเที่ยวมากเกินที่แหล่งท่องเที่ยวจะรับได้ จะเป็นเรื่องที่นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญ แต่การไปท่องเที่ยวสถานที่ที่ยังไม่ค่อยได้รับความนิยมกลับอยู่ในอันดับที่ 7 จาก 10 ของสิ่งที่นักท่องเที่ยวจะทำ
การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้รับความสนใจมากขึ้นและลดลง
แนวทางปฏิบัติที่นักท่องเที่ยวมองว่า สัมพันธ์กับการเดินทางอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือยั่งยืนมากที่สุด คือ
1.) พลังงาน และทรัพยากรหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม ไฟฟ้าพลังน้ำ และน้ำ
2.) ไม่ใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง
3.) การอนุรักษ์สัตว์ และการสร้างคาร์บอนฟุตพรินต์ให้น้อยลง
วิธีอื่นๆ ในการประหยัดพลังงาน เช่น การใช้คีย์การ์ด หรือเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากธรรมชาติ ก็เป็นแนวทางปฏิบัติที่สำคัญ แต่น่าสังเกตว่าการซื้อผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น การใช้ผ้าปูที่นอน หรือผ้าเช็ดตัวซ้ำระหว่างท่องเที่ยว และการไปท่องเที่ยวสถานที่ที่ยังไม่ค่อยได้รับความนิยม เป็นแนวทางปฏิบัติที่อยู่ใน 3 อันดับสุดท้าย จาก 10 แนวทางปฏิบัติยอดนิยมที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางอย่างยั่งยืนมากที่สุด
โควิดกับทัศนคติการเดินทางท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
ความปรารถนาที่จะการเดินทางอย่างยั่งยืนที่เพิ่มมากขึ้น แพร่หลายมากที่สุดในกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามจาก เกาหลีใต้ (35%) อินเดีย (31%) และ ไต้หวัน (31%)
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูตัวเลขสำหรับทั่วโลก ขณะที่ผู้คน 25% ปรารถนาจะเดินทางอย่างยั่งยืนมากขึ้น แต่ผู้คนอีก 35% กลับมีความปรารถนาเดียวกันลดลง โดยประเทศที่มีสัดส่วนความปรารถนานี้ลดลงมากที่สุด ได้แก่ อินโดนีเซีย (56%) ไทย (51%) และ ฟิลิปปินส์ (50%)
“เป็นที่น่ากังวลว่า ตอนนี้หลายๆ คนมองการเดินทางอย่างยั่งยืนสำคัญน้อยลงกว่าที่พวกเขาเคยในตอนก่อนการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้น แต่ผมหวังว่านี่จะเป็นเพียงผลกระทบเชิงลบในระยะสั้น ซึ่งขับเคลื่อนโดยความกระหายที่จะท่องเที่ยว และเดินทางอย่างไรก็ได้ที่พวกเขาทำได้” จอห์น บราวน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร agoda กล่าวสรุป
มายด์เซ็ตคนไทย คิดและแคร์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนแบบไหนกัน
เมื่อถามคนไทยว่า มีแนวทางปฏิบัติอะไรที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนบ้าง
ในด้านมาตรการเพิ่มเติมที่นักท่องเที่ยวเชื่อว่าจะส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนมากขึ้น คือ ระบุตัวเลือกการท่องเที่ยวที่มีความยั่งยืน/เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ง่าย เสนอสิ่งจูงใจทางการเงินแก่ผู้ให้บริการที่พักที่เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานถึงขีดสุด และจำกัดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้งของสายการบินหรือในที่พัก