svasdssvasds

"เขียนอย่างที่มึงคิด" เปลี่ยนชีวิต "พิง ลำพระเพลิง

"เขียนอย่างที่มึงคิด" เปลี่ยนชีวิต "พิง ลำพระเพลิง

เปิดหมดเปลือก "พิง ลำพระเพลิง" ก่อนจะมาเป็นผู้กำกับดัง เคยถูกไล่ออกจากโรงงานขนมเพราะโขมยขนมกลับบ้าน หรือเคยต้องแอบนอนในออฟฟิสเพราะค่าเช่าบ้านไม่พอ แต่พลิกตัวเองกลับมาได้เพราะคำพูดของ "ศุ บุญเลี้ยง" ที่กล่าวว่า "เขียนอย่างที่มึงคิด"

SHORT CUT

  • เปิดชีวิต "พิง ลำพระเพลิง" สู้ชีวิต แต่มีทัศนคติว่าชีวิตดำเนินไปตามปกติ ไม่เคยหมดกำลังใจ
  • "เขียนอย่างที่มึงคิด" คำพูดของ ศุ บุญเลี้ยง เปลี่ยนชีวิต
  • เพราะมุมมองที่พร้อมจะคว้าทุกโอกาส เคาะประตูทุกบาน ทำให้เกิดภาพยนตร์ดัง "โคตรรักเอ็งเลย" กับสไตล์หนังยิ้มทั้งน้ำตา

เปิดหมดเปลือก "พิง ลำพระเพลิง" ก่อนจะมาเป็นผู้กำกับดัง เคยถูกไล่ออกจากโรงงานขนมเพราะโขมยขนมกลับบ้าน หรือเคยต้องแอบนอนในออฟฟิสเพราะค่าเช่าบ้านไม่พอ แต่พลิกตัวเองกลับมาได้เพราะคำพูดของ "ศุ บุญเลี้ยง" ที่กล่าวว่า "เขียนอย่างที่มึงคิด"

พิง ลำพระเพลิง ยิ้มสู้ทุกสถานการณ์ กว่าจะมาเป็น นักเขียน นักแสดง และผู้กำกับภาพยนตร์ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง 

"เคยทำงานโรงงานทำขนม และถูกไล่ออกจากงาน เพราะขโมยขนมกลับบ้าน" 

"สมัยเป็นผู้ช่วยผู้กำกับหนังโฆษณา กำลังทรัพย์ไม่พอเช่าบ้านในเมืองหลวง ต้องแอบนอนในออฟฟิศ ใช้สายยางฉีดก้นชำระล้างร่างกาย

"อายุ 27 ปี บินไปล้างจานที่ สหรัฐอเมริกา หาเงินใช้หนี้ ท่วมหัว" 

ส่วนหนึ่งชีวตต้องสู้ของ "พิง ลำพระเพลิง" ที่เจ้าตัวไม่เคยคิดว่าเป็นการสู้ชีวิต  

พิง ลำพระเพลิง คือฉายา หรือ นามปากกาของ ภูพิงค์ พังสอาด เขาให้สัมภาษณ์พิเศษกับ SPRiNG ก่อนเจอจุดเปลี่ยนสำคัญ ประสบความสำเร็จ เป็นคนดังวงการบันเทิง ลำบากไม่น้อย 

หลังจากเรียนจบจากเพาะช่าง เริ่มทำงานเป็นพนักงานออกแบบแพ็คเกจ ที่ โรงงานทำขนม ก่อนโดนไล่ออกจากงานที่ทำ เพราะขโมยกลับไปกินที่บ้าน 

"มันจำนวนน้อยนิดมาก แต่ว่ามันเป็นกฏเหล็กของบริษัท พนักงานในโรงงานเขาเป็นพันๆ คน ถ้าทุกคนทำอย่างนี้ก็พัง" 

เขายอมรับว่าตอนนั้นรู้สึกอายมาก แต่เมื่อ "ทำผิดก็ต้องยอมรับผิด และสำนึกผิด" หาทางเดินต่อไป

"ผมเชื่อว่า บางครั้งสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเรา มันอาจจะผลักเราไปสู่สิ่งที่ดีขึ้นก็ได้  ผลักเราไปหาศักยภาพที่เราเป็นจริงๆ ผมจะมี คำพูดๆ หนึ่ง ปลอบใจตัวเองอยู่เสมอว่า ถ้าเราไม่ถูกถีบตกเหว บางทีเราก็ไม่รู้นะว่าเราบินได้"  

"คนอย่างผมที่เรียนจบ ไม่มีพ่อแม่ซัพพอร์ต ไม่มีเงินเก็บ ไม่มีบ้านอยู่ ถ้าผมไม่โดนไล่ออกนะ ผมก็ไม่กล้าลาออก ผมก็ยังคงต้องทำงานที่เงินเดือน 2,500 บาท นั้น ต่อไปเรื่อยๆ แน่ๆ ตอนนี้ก็อาจจะขึ้นมาสักเป็น 8,000 บาท" 

เขาบอกว่า "ในวันที่ดูแย่แค่ปรับวิธีคิด" ก็ทำให้ชีวิตไม่ได้ดูแย่อย่างเป็น ยกตัวอย่าง ช่วงหนึ่ง ได้ไปทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับหนังโฆษณา กำลังทรัพย์ไม่มากพอเช่าบ้านอาศัยในเมืองหลวง ต้องแอบย่องเข้าไปนอนในออฟฟิศ อาบน้ำด้วยสายยางฉีดก้นทุกวัน 

"พอ 5 โมงเย็น 6 โมงเย็น เลิกงาน เราก็ไปเดิน มองขึ้นไปตรงตึกแถวห้องเจ้านาย เจ้านายเรากลับหรือยัง เขากลับนู่น 3 ทุ่ม 4 ทุ่มบ้างนะครับ พอไฟดับ เราก็ไขกุญแจห้องเข้าไปนอน อาบน้ำด้วยสายฉีดก้นครับ" 

"คุณ สายฉีดก้น น้ำมันแรงมากนะ ฉีดตรงไหนบุบตรงนั้น เหมือนนวด  ผมเรียกว่า จากุชชี่มือถือโอ้โห มันนวดแล้วมันสบาย คือ ถ้าเราไม่รู้สึกว่า ชีวิตมันระทมหม่นหมอง มันร่าเริงสดใสจริงๆ มองย้อนกลับไป ผมจำได้แต่ความสุข" 

 

เขายกอีกหนึ่งตัวอย่าง ตอนที่มีอายุ 27 ปี เป็นหนี้โรงพิมพ์ 5 แสนบาท จากการตั้งสำนักพิมพ์ ทำพ็อกเก็ตบุ๊กผลงานตัวเองแล้วเจ๊ง ตัดสินใจขายบ้านขายรถ ตีตั๋วเครื่องบินไปทำงานล้างจาน ในร้านอาหาร ที่ ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อหาเงินใช้หนี้ 

"พอผมเล่าประมาณนี้ โอ้โหผมสู้ชีวิตมากๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่า ผมก็ดำเนินชีวิตตามปกติ เป็นหนี้ก็ต้องใช้ ไปอเมริกา ผมก็นั่งเครื่องบินไปนะ ผมไม่ได้ซุกไปใต้ท้องเรือสำเภานะ ถ้าเราไม่ยอมแพ้ อย่าไปรู้สึกเศร้ากับสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับเรา อย่าไปสอบถามเลยว่า ทำไมต้องเป็นเราด้วยวะ" 

ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ พิงบอกด้วยว่า เขามีความเชื่อมาตลอดว่า ทุกคนมีทรัพย์สมบัติอยู่ในตัว มีหีบสมบัติอยู่ในตัว อยู่ที่ว่า จะหากุญแจไขเปิดหีบได้เมื่อใด สำหรับเขาค้นพบกุญแจสู่ความสำเร็จ ในฐานะนักเขียน

สมัยที่ทำงานอยู่ที่หนังสือไปยาลใหญ่ 5 พยางค์จากปาก "ศุ บุญเลี้ยง" ศิลปิน นักเขียน นักร้อง บุคคลที่เขาอยากเจริญรอยตาม ซึ่งเป็นผู้บริหารหนังสือไปยาลใหญ่ในขณะนั้น

"เขียนอย่างที่มึงคิด" 

 ช่วยจุดประกายให้เห็นทางสว่าง ยกระดับพนักงานฝ่ายศิลป์ ขึ้นมาเป็นนักเขียนมีผลงานได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางทันที 

"ผมบอกพี่จุ้ย (ศุ บุญเลี้ยง) ครับ ผมอยากเขียนเรื่องสั้น มันมีวิธีเริ่มต้นยังไง พี่จุ้ยบอกว่า เขียนอย่างที่มึงคิด เขียน อย่าง ที่ มึง คิด 5 พยางค์ เปลี่ยนชีวิตผมเลย ผมรู้สึกเหมือนผมแบบ นั่งอยู่ในอุโบสถ แล้วประตูหน้าต่างบานใหญ่ๆ มันเปิดแบบ ปึ้งๆ ปึ้ง ทุกบาน พร้อมๆ กัน" 

"วันหนึ่ง ฝนตกลงมา ผมรู้สึกว่า ฝนตกลงมาเป็นแกงไก่ก็ดีสิวะ ในครัวมันมีข้าวอยู่ ถ้าเราไปตักข้าวมานะ ยื่นจานข้าวออกไป แกงไก่ตกสู่ในจานเราได้เลย แล้วก็นึกต่อไปว่า ตกมาหนักๆ ให้น้ำท่วมสบายเลย ถ้าน้ำท่วมเนื้อไก่จะนอนก้น ผมดำน้ำเก่ง เนื้อไก่เสร็จผมหมดเลย ได้รับการตีพิมพ์ ชื่อปกว่า แกงไก่ล้างโลกแล้ว ฤาไฉน พิมพ์ตั้ง 5 ครั้ง" 

พิง เล่าต่อว่า เขารักการเขียนมาก จากเขียนหนังสือ ต่อยอดสู่การเขียนบทโทรทัศน์ และภาพยนตร์ ได้ด้วยการ "รีบคว้าทุกโอกาส" ที่เข้ามาในชีวิต โดยไม่เกี่ยงว่า โอกาสนั้น "มีน้อยหรือมีมาก" 

"ย้อนไปตอนที่ผมเขียนแกงไก่ฯ ส่ง บก.อ่านแล้ว บก.บอกว่า มันไม่ได้มันเว่อร์เกินไป พี่จุ้ยเขาหยิบตะกร้าผิด เอาของคนที่จะถูกทิ้งไปอ่าน เขาบอกผมว่า เขียนดีนะ เขียนมาอีกสัก 7-8 เรื่องสิ จะตีพิมพ์เป็นพ็อกเกตบุ๊กให้ ผ่านไป 30 วัน ผมเอาเรื่องไปให้แกดู พี่จุ้ยแบบ ทำไมเขียนได้เร็วขนาดนี้ ผมก็บอกว่าพี่จุ้ยครับ ผมไม่รู้ว่าพี่จุ้ยจะตายเมื่อไหร่ ผมรู้สึกอย่างนี้จริงๆ คือเราไม่รู้จริงๆ นะว่า ประตูที่มันเปิดไปสู่โอกาสของเรา มันจะปิดลงเมื่อไหร่" 

"พี่หน่อง อรุโณชา มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มนั้นด้วยนะครับ เขาก็ถามว่า เขียนบทได้ไหม ผมโกหกเลย เขียนได้ครับ พี่หน่องบอกว่า ไปหาวิดีโอเรื่อง ซึมน้อยหน่อยกะล่อนมากหน่อย มาดูซิ แล้วก็เขียนเป็นละคร  คือ หนังมัน 2 ชั่วโมง ต้องเขียนเป็นละคร 30 ชั่วโมง ผมก็เขียนๆ เขียน เอาไปส่งที่ บริษัท บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น พี่หน่องแบบ คะ  เดือนกว่าๆ เองทำไมเขียนเร็วอย่างนี้ คุณเอ๊ยซึมน้อยหน่อยกะล่อนมากหน่อย เป็นละครที่เรตติ้งดี โอ้โห ชีวิตผมเปลี่ยนจากหน้าเป็นหลังมือเลย ผมถึงบอกว่าอะไรที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จะเล็กน้อยแค่ไหนคว้ามันไว้ สักวันหนึ่ง มันจะตอบแทนแบบยิ่งใหญ่มาก" 

ในการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ พิง บอกด้วยว่า เขามีความสุขมาก ที่ได้เขียนอย่างที่คิด ทั้งชีวิต บทละครโทรทัศน์ และบทภาพยนตร์ เขาเก็บทุกเรื่องราวที่ได้สัมผัสไว้เป็นคลังข้อมูล แม้แต่เรื่องเศร้าที่ทำให้ชีวิตจมดิ่ง ก็นำออกมาแปลงเป็นทุนทำภาพยนตร์เรื่อง "โคตรรักเอ็งเลย" ผลงานสร้างชื่อให้เขาเป็นที่ยอมรับในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ หลังได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือจาก ศุ บุญเลี้ยง ออกมาตั้งสำนักพิมพ์เอง ใช้ชื่อว่า "พิมพิลาไลย" พิมพ์ผลงานของตัวเอง แต่เป็นก้าวย่างที่ผิดพลาด ไปล้างจานปลดหนี้ ที่ สหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 2 ปี และกลับเมืองไทย เริ่มต้นใหม่

"ผมรู้สึกว่า ชีวิตอยากเป็นยังไง ให้เขียนบทเอง หนังโคตรรักเอ็งเลย ผมเอาไปเสนอที่แรก เขาปฏิเสธมา ผมก็ไปอีกหลายที่นะครับ ไปอีกประมาณ 5-6 ที่ จนกระทั่งมาเจอ พี่ปรัชญา ปิ่นแก้ว โลกก็ได้รู้จักภาพยนตร์ เรื่องโคตรรักเอ็งเลย วงการภาพยนตร์ รู้จัก พิง ลำพระเพลิง คนดูได้รู้ เฮ้ยหนังแบบนี้ มันคือหนังแบบ พิง ลำพระเพลิง จะเศร้าก็ไม่เศร้าอย่างเดียว จะตลกก็ไม่ตลกอย่างเดียว เป็นหนังที่แบบว่า ยิ้มทั้งน้ำตา ผมรู้สึกว่ามันดีจังเลยที่มีโอกาสได้ทำสิ่งที่เราคิด" 

ก่อนได้รับการยกย่อง เป็นนักเขียนบท ผู้กำกับละครโทรทัศน์ ผู้กำกับภาพยนตร์ ที่ถูกจัดวางให้อยู่อันดับต้นๆ นอกจากไม่มองข้ามโอกาสอันน้อยนิดที่เข้ามาแล้ว เขายังออกไปไข่วคว้าหาโอกาสให้กับตัวเอง โดยไม่เขินอายกับการถูกปฏิเสธ  

"ผมไปเคาะประตูครั้งแล้วครั้งเล่า ผมไม่สนใจหรอกปฏิเสธก็เรื่องของคุณ คุณมีหน้าที่ของคุณ ผมมีหน้าที่ของผม ใครจะด่าใครจะหมั่นไส้เราเรื่องของเขา เพราะเราไม่รู้จริงๆ นะครับว่า ประตูบานไหน จะเป็นบานประตูของเรา อย่าเพิ่งหยุดเคาะ อย่าเพิ่งอาย บางคนโดนแซะหน่อยก็แบบว่าเขินๆ มวนท้องว่ะ ไม่น่าทำเลย รู้สึกว่าตัวเองแบบ กระจอกงอกง่อย ไม่เป็นไร ใครว่าเราก็ช่าง ใครจะส่ายหน้ากับเราก็ช่าง แต่ขออย่างเดียวเวลามองกระจก อย่าส่ายหน้ากับตัวเองก็พอ" 

พิง บอกทิ้งท้ายการให้สัมภาษณ์ครั้งนี้ ว่า "สำหรับเขา เชื่อเสมอ ความสำเร็จเกิดจากทัศนคติที่ดี เขาไม่เคยก่นด่าโลก ก่นด่าสังคม เมื่อถูกปฏิเสธ เอาเวลาไปหาโอกาสให้ตัวเอง พร้อมกับความคิดบวก "ถ้ายังไม่ได้วันนี้ พรุ่งนี้มันต้องได้ มะรืนนี้มันต้องได้" 

"ตราบใดที่เรา ยังไม่ยอมแพ้ จงเคาะประตูที่ปิดกั้น ให้หมดทุกบาน แล้ววนกลับไปเคาะอีก ประตูบานแรกอาจจะลืมไปแล้ว เชิญเข้าไปรับความสำเร็จ ก็เป็นได้

ใครจะไปรู้"

รับชมเพิ่มเติม

related