PEA ชวนคนไทยทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี กับโครงการ "คนไทยไร้ E-Waste" เพราะรู้หรือไม่? มีเด็กทั่วโลกกว่า 16.5 ล้านคนเสี่ยงเจริญเติบโตช้าเพราะขยะอิเล็กทรอนิกส์
PEA ชวนคนไทยไร้ E-Waste รู้หรือไม่? ทั่วโลกมีเด็กประมาณ 16.5 ล้านคนทำงานในอุตสาหกรรมที่เสี่ยงรับสารพิษจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ ขยะอิเล็กทรอนิกส์กำลังเป็นอีกหนึ่งภัยคุกคามสุขภาพมนุษย์ครั้งใหญ่อย่างที่เราเองก็ไม่รู้ตัวมาก่อน เรื่องราวเป็นอย่างไรเดี๋ยว Keep The World จะเล่าให้ฟัง
เพราะความจนมันน่ากลัว เลยทำให้เด็ก ๆ หลายล้านคนทั่วโลกต้องเข้าไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม รายงานจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ปี 2020 รายงานว่า ทั่วโลกมีเด็กประมาณ 16.5 ล้านคนทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม จำนวนหนึ่งในนั้นคืออุตสาหกรรมกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์
เพราะว่ามือเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ มีประสิทธิภาพมากกว่าผู้ใหญ่ ในเรื่องของการแยกชิ้นส่วนต่าง ๆ ออกมาได้อย่างง่ายดาย แถมยังเป็นแหล่งแรงงานราคาถูก ที่เสนอเท่าไหร่ก็รับได้หมด ไม่เรื่องมากเหมือนผู้ใหญ่
นั่นจึงทำให้ประเทศในกลุ่มผู้รับซื้อขยะอิเล็กทรอนิกส์ มีการใช้แรงงานเด็กจำนวนมาก และก็ผิดกฎหมายด้วย
ขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นกระแสขยะมูลฝอยที่กำลังเติบโตเร็วที่สุดในโลก เร็วกว่าการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก 3 เท่า และมีเพียงแค่ 1 ใน 4 ของขยะอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้นที่สามารถเดินทางไปถึงระบบการรีไซเคิลอย่างถูกวิธีได้
(ซึ่งเมื่อก่อนมีประเทศไทยด้วยนะคะที่เป็นผู้รับซื้อ แต่เหมือนว่าจะยกเลิกการนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้าราชอาณาจักรแล้วตั้งแต่ปี 2020) ตามรายงานจากกรมการค้าต่างประเทศ แต่จะมีการลักลอบนำเข้าหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง
E-Waste มีส่วนประกอบของสารเคมีและวัสดุที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมจำนวนมากถึง 1000 ชนิด เช่น ตะกั่ว ไดออกซิน สารหนู แคดเมียม และปรอท สามารถทำลายระบบประสาท ชะลอการเจริญเติบโต ลดประสิทธิภาพการทำงานของปอดและระบบทางเดินหายใจ เพิ่มการเป็นภูมิแพ้ โรคหอบหืด และอีกหลากหลายโรค
อีกทั้งสารอันตรายเหล่านี้สามารถส่งต่อจากแม่สู่ลูกได้ด้วย ผ่านน้ำนมนั่นเองค่ะ ดังนั้น สตรีมีครรภ์ก็ไม่ควรอยู่ใกล้อุตสาหกรรมเหล่านี้เช่นกัน
นอกจากนี้ ชิ้นส่วนของขยะอิเล็กทรอนิกส์ส่วนใหญ่ ไม่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ และมันสามารถหลุดรอดไปยังสิ่งแวดล้อม ในดิน น้ำ อากาศ และสิ่งมีชีวิต ทำให้สิ่งแวดล้อมมีการปนเปื้อนสารพิษ อันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ แถม E-Waste ยังปล่อยก๊าซคาร์บอนทำให้เกิดภาวะโลกร้อนได้ด้วย จากกระบวนการผลิตจำนวนมาก ๆ ที่จะเพิ่มขึ้นตามความต้องการของผู้บริโภค
ปัจจุบันประเทศไทยมีขยะอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า 435,187 ตันต่อปี และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากเราไม่มีการจัดการอย่างถูกวิธีภายใน 5-10 ปีนี้ ประเทศจะเข้าสู่วิกฤตขยะอิเล็กทรอนิกส์เต็มตัว เหมือนหลายประเทศทั่วโลก
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ PEA และผู้ให้บริการโทรคมนาคม AIS จึงอยากชวนคนไทยมากำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี กับโครงการ “คนไทยไร้ E-Waste” โดย AIS จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการเป็นจุดรับขยะอิเล็กทรอนิกส์จากประชาชน เพื่อส่งต่อขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปกำจัดและรีไซเคิลในระบบปิดอย่างปลอดภัย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ผู้เชี่ยวชาญเผย iPhone 15 ใช้ USB-C ไม่ช่วยอะไร ความรู้แยกขยะเป็นสิ่งควรทำ
นายกรัฐมนตรีเร่งยกระดับฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เน้นรีไซเคิล ลดการนำเข้าพลาสติก
ตลอด 3 ปีในการดำเนินงาน และการตั้งจุดรับร่วมกับพันธมิตรมากกว่า 2,500 แห่งทั่วประเทศ ประชาชนให้ความร่วมือนำขยะอิเล็กทรอนิกส์มาทิ้งกับ AIS แล้วทั้งสิ้น 531,034 ชิ้น
โดยทางกฟภ.ก็จะส่งเสริมและสนับสนุนให้บุคลากรทั้งสำนักงาน นำขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปทิ้งกับ AIS เพื่อให้ปลายทางของขยะอิเล็กทรอนิกส์ไม่หลุดรอดไปยังสิ่งแวดล้อม โดยจะมีการตั้งจุดรับไว้ที่สำนักงานของ กฟภ. ด้วย ประชาชนที่ไปติดต่องานก็สามารถนำไปทิ้งได้
ดังนั้น หากใครอยากหาจุดทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ก็สามารถนำไปทิ้งได้ที่ศูนย์ให้บริการ AIS ทุกสาขาและ PEA สำนักงานใหญ่ บริเวณประตูทางเชื่อมโรงอาหาร-โถงทางเดินชั้น 1 อาคาร LED
แต่ว่ากล่องรับนี้ ไม่รับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น เครื่องซักผ้า ตู้เย็น และก็ไม่รับจำพวกพาวเวอร์แบงค์และถ่านไฟฉายทุกประเภทนะคะ
สุดท้ายนี้ ใครที่เข้าร่วมโครงการนี้ สามารถสแกนโหลดแอปพลิเคชันนี้ไปได้เลย เราสามารถรายงานการทิ้งของเราได้ ซึ่งหากเราทิ้งขยะ E-Waste ผ่านแอปพลิเคชันจะได้รับ Carbon Score ซึ่งจะบอกได้ว่าเราสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้เท่าไหร่จากการทิ้งในครั้งนี้ และสามารถติดตามขยะของเราได้ด้วยว่ามันเดินทางไปถึงแหล่งรีไซเคิลอย่างปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งรองรับทั้ง IOS และแอนดรอย
แต่ถ้าให้ดีที่สุดในแบบฉบับ Keep The World การใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้คุ้มค่าที่สุดตามอายุการใช้งาน และก็เลือกใช้เท่าที่จำเป็นก็จะดีที่สุดต่อการลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ลงได้ ไม่ใช้ตามแฟชั่นมากเกินไป แถมยังช่วยให้เราประหยัดพลังงานได้ด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง