ปตท.เตรียมนำเข้ายาเรมเดซิเวียร์ บริจาครัฐ ใช้รักษาโควิด-19 ลดความเสี่ยงผู้เสียชีวิต พร้อมร่วมมือ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จัดซื้อวัคซีนทางเลือก ช่วยลดภาระรัฐบาล
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า แผนรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ระลอกที่ 3 ในประเทศไทยนั้น ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ ปตท. โดยบริษัทลูกในเครือ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด ซึ่งร่วมทุนกับ Lotus บริษัทยาแห่งไต้หวัน เตรียมนำเข้า ยาเรมเดซิเวียร์ (Remdesivir) ซึ่งเป็นยาสำหรับใช้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรงแล้วในหลายประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป (EU) อังกฤษ ออสเตรเลีย อินเดีย สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยจะนำเข้ามา 2,000 ขวด เพื่อบริจาคให้รัฐบาลไทยไปบริหารจัดการในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19
ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีการนำเข้ามาแล้วประมาณ 4,000 ขวด และมีความจำเป็นต้องใช้มากยิ่งขึ้น เพราะปัจจุบันในส่วนยาต้านไวรัสเพื่อใช้รักษาอาการของผู้ป่วยโควิด-19 ได้แก่ ฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir) พบว่าผู้ใช้บางส่วน เช่น หญิงตั้งครรภ์ มีอาการแพ้ ดังนั้น ก็เชื่อว่า ยาเรมเดซิเวียร์ จะมาช่วยคนไทยผู้ป่วยโควิด-19 หายจากโรค ลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตได้เพิ่มขึ้น
ส่วนการใช้วัคซีนทางเลือก ซึ่ง ปตท. ได้ลงนามกับ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานตัวแทนของรัฐบาล ในการจัดหาและนำเข้าวัคซีน เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ประชาชน ยังอยู่ระหว่างหารือในรายละเอียดทั้งปริมาณการนำเข้า และสัดส่วนที่จะจัดสรรให้กับ ปตท. โดย ปตท.จะนำไปใช้สำหรับพนักงานของกลุ่ม ปตท. ซึ่งก็จะช่วยลดภาระด้านงบประมาณในการจัดหาวัคซีนของภาครัฐ ได้ส่วนหนึ่ง และเป็นการช่วยกระจายวัคซีนให้แก่ประชาชน ขณะเดียวกัน ปตท.ก็พร้อมร่วมกับทุกหน่วยงานในการจัดหาพื้นที่กระจายจุดฉีดวัคซีน นอกเหนือจากปั๊มน้ำมัน พีทีที สเตชั่น พระราม 2 ก็พร้อมจะใช้พื้นที่อื่นๆ ของกลุ่ม ปตท.ไม่ว่าจะเป็น จังหวัดระยอง และจังหวัดอื่นๆ ในการเป็นพื้นที่กระจายวัคซีนให้ทั่วถึง
อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือโควิด-19 ระลอกที่ 3 กลุ่มปตท.ได้ใช้งบประมาณไปแล้ว เกือบ 200 ล้านบาท ทั้งการบริจาค เครื่องช่วยหายใจไปแล้ว กว่า 300 เครื่องแก่โรงพยาบาล 70 แห่ง งบประมาณจัดซื้อออกซิเจน ถุงยังชีพ และอื่นๆ เป็นต้น
“โครงการลมหายใจเดียวกันของปตท. ยังมองถึงลมหายใจเศรษฐกิจด้วย คือต้องไม่ทำให้โรงงานสะดุด เพราะเป็นเครื่องจักรเดียวที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในเวลานี้”