เปิดเหตุผล เพราะเหตุใด ทีมชาติญี่ปุ่น เลือกใช้ชุดแข่งฟุตบอลโลก 2022 เป็นสีน้ำเงิน รวมถึงในมหกรรมกีฬาอื่นๆ ในอดีตด้วย ลองมาทำความรู้จักและเจาะลึกกันว่า เพราะเหตุใดญี่ปุ่น ใช้สี น้ำเงิน ทั้งที่ไม่มีสีนี้ใม่มีในธงชาติเลย
ณ เวลานี้ กระแสฟุตบอลโลก 2022 คงไม่มีทีมไหนได้รับการพูดถึง ไม่มากกว่า ทีมชาติญี่ปุ่น อีกแล้ว หลังจากสร้างประวัติศาสตร์ พลิกล็อกโค่นทั้งเยอรมนี ชนะทั้งสเปน ในรอบแบ่งกลุ่ม ฟุตบอลโลก 2022 และทะลุเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ
การชนะทั้งเยอรมนี และ สเปน ในฟุุตบอลโลกครั้งเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะทีมชาติญี่ปุ่นได้กลายเป็นทีมแรกของทวีปเอเชีย ที่ชนะได้ทั้ง สเปน และ เยอรมนี ในศึกฟุตบอลโลก เพียงครั้งเดียว และเป็นทีมแรกในรอบ 44 ปี นับตั้งแต่ที่ ออสเตรีย เคยทำเรื่องแบบนี้ ได้ในฟุตบอลโลก 1978 ที่ประเทศอาร์เจนติน่า แต่ออสเตรีย ไม่ใช่ตัวแทนจากเอเชีย ...ไม่ใช่ความภาคภูมิแห่งเอเชีย เหมือนญี่ปุ่น ณ เวลานี้
เรื่องราวของทีมชาติญี่ปุ่น ถูกขุดค้นขุดคุ้ย หลากหลายแง่มุม เพื่อที่จะสนองความอยากรู้ของผู้ชม และแฟนๆที่ติดตามทีมชาติญี่ปุ่น ซึ่งกลายเป็นทีมสุดเซอร์ไพรส์ในฟุตบอลโลก 2022 ครั้งนี้ และหนึ่งในคำถามสำคัญก็คือ เพราะเหตุใดทีมชาติญี่ปุ่น เจ้าของฉายา "ซามูไรบลู" จึงใช้ชุดแข่งสีน้ำเงิน แต่ธงชาติ มีแค่สีขาว-แดง...คำถามชวนสงสัย แต่น่าค้นหาคำตอบ...
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ยูโร2020 ไขความลับทำไมชุดอิตาลี ต้องเป็นสีน้ำเงินอมฟ้าและไม่ใช้สีธงชาติ
5 ประเด็นแห่งความเจ็บปวด เยอรมนีแชมป์โลก 4 สมัย ตกรอบแรกฟุตบอลโลก 2 สมัยซ้อน
ฟีฟ่าแจง ประตูชัย ญี่ปุ่น ชนะ สเปน 2-1 ฟุตบอลโลก 2022 ออกเส้นหลังแล้วหรือไม่ ?
อย่างที่ทราบกันดี ว่า ทีมฟุตบอลทีมชาติทั่วโลก ส่วนใหญ่ จะเอาสีประจำชาติหรือสีที่อยู่บนธงชาติ มาเป็นสีชุดแข่งของตัวเอง อาทิ ทีมชาติไทย ใช้สีน้ำเงิน , บราซิลใช้สีเหลือง,อังกฤษสีขาว , ฝรั่งเศส สีน้ำเงิน เป็นต้น แต่ ญี่ปุ่นในธงชาติมีแค่สีขาว-แดง แต่ทำไมจึง ยึด "สีน้ำเงิน" มาเป็นชุดแข่ง
จุดเริ่มต้นของชุดแข่งสีน้ำเงินของญี่ปุ่น มีการเริ่มต้นขึ้นในปี 1930 เมื่อ ทีมชาติญี่ปุ่นลงแข่งขันฟุตบอลในมหกรรมกีฬาเอเชียตะวันออกไกลครั้งที่ 9 (9th Far Eastern Championship Games) โดยในตอนนั้น ยังไม่ได้เป็นสีน้ำเงินแต่เป็นสีฟ้า ซึ่งในประเด็นนี้ มีทฤษฎีเชื่อว่า สีฟ้า มันมาจากสีชุดแข่งของนักฟุตบอลมหาวิทยาลัยหลวงโตเกียว (Tokyo Imperial University ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยโตเกียว) ที่เป็นตัวแทนของทีมชาติมาทำการแข่งขัน
ต่อมาในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 1936 ที่นาซีเยอรมันเป็นเจ้าภาพ ทีมชาติญี่ปุ่นก็ได้เข้าร่วมการแข่งขัน และได้สร้างปาฏิหาริย์แห่งเบอร์ลิน (Miracle of Berlin) โดยการพลิกแซงชนะทีมชาติสวีเดน 3-2 ทำให้นับแต่นั้นมา ชุดแข่งสีฟ้าก็กลายเป็นสีนำโชคของทีมชาติญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม มีทฤษฎีหนึ่งบอกว่า การที่ญี่ปุ่นใช้ชุดสีฟ้า หรือ สีน้ำเงิน เป็นเพราะประเทศเพื่อนบ้านของญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นจีน เกาหลีเหนือ รวมถึงเกาหลีใต้ ประเทศเหล่านี้หยิบเอาสีแดงบนธงชาติมาเป็นสีชุดแข่งไปแล้ว ญี่ปุ่นเลยต้องเอาสีน้ำเงินเพื่อไม่ให้ซ้ำกับใคร
จากประวัติศาสตร์ฟุตบอล ในช่วงหลัง ในยุคสมัยใหม่ ในช่วงปี 1988 ถึง 1992 ทีมชาติญี่ปุ่นก็เคยเปลี่ยนสีชุดแข่งจากสีน้ำเงินมาเป็นสีแดง เพื่อให้สอดคล้องกับสีบนธงชาติ แต่ทีมชาติญี่ปุ่นในตอนนั้น ก็ผลงานไม่ดีนัก เพราะไม่สามารถผ่านเข้าเล่นรอบสุดท้ายในฟุตบอลโลก1990 และโอลิมปิกฤดูร้อน 1992 ได้ ทีมชาติญี่ปุ่นเลยหันกลับมาใช้สีน้ำเงินตามเดิม
สมาคมฟุตบอลแห่งญี่ปุ่น (หรือ JFA) ได้เคยให้คำตอบเกี่ยวกับสีชุดแข่งสีน้ำเงินไว้ว่า สีน้ำเงินคือสีที่สื่อถึงท้องฟ้าและมหาสมุทร อันเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของญี่ปุ่น แต่ความหมายนี้ถูกกำหนดขึ้นในตอนหลัง ส่วนเหตุผลจริง ๆ นั้น ก็ไม่สามารถหาคำตอบได้เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่า พวกเขาจะใช้สีน้ำเงินเพราะอะไร...ณ เวลานี้ พวกเขา เหล่าซามูไรบลู คือตัวแทนแห่งความใจสู้ และ ไม่เคยเกรงกลัวใครหน้าไหน ในฟุตบอลโลก 2022 ไปแล้ว!
อนึ่ง ทีมชาติญี่ปุ่น ไม่ใช่ประเทศเดียวที่ไม่ได้ใช้สีธงชาติมาเป็นชุดแข่ง เพราะหากจะยกตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุด ก็คือ อิตาลี แชมป์ยูโร 2020 ที่ไม่ได้มาฟุตบอลโลก 2022 ที่ใช้สีน้ำเงินเป็นสีชุดแข่ง ทั้งที่ ธงชาติอิตาลีนั้นไม่มีน้ำเงินอมฟ้าปรากฏอยู่แม้แต่น้อย แต่เป็นธงอิตาลี แถบสามสีแนวตั้งที่ประกอบด้วยสีแดง, ขาว, และเขียว และเหตุผลของอิตาลีก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดเช่นกัน
...ทั้งนี้ ไม่ว่าจะประเทศใด สีของชุดกีฬาก็ไม่จำเป็นต้องยึดโยงอยู่กับสีของธงชาติเสมอไป อิตาลี และ ญี่ปุ่น เป็นตัวอย่าง
นอกจากนี้ยังมี เยอรมนีที่ใช้สีแข่งสีขาว , เนเธอร์แลนด์ใช้ชุดแข่งสีส้ม , ออสเตรเลีย ใช้ชุดแข่งสีเหลือง ซึ่งประเทศเหล่านี้ ไม่ได้มีสีชุดแข่งอยู่ในสีธงชาติเลย เช่นเดียวกับ ทีมชาติญี่ปุ่น
แต่อย่างไรก็ตาม...ตราบใดที่สีที่เลือกมาใช้มีความหมายมากพอสำหรับคนทั้งชาติ ก็ย่อมได้รับการยอมรับ และในที่สุดก็จะกลายเป็นภาพจำแก่ผู้คนทั่วโลก และตอนนี้คนทั้งโลก จดจำ "ซามูไรบลู" ได้จำขึ้นใจไปแล้ว
ที่มา mainichi footyheadlines