นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เตรียมเข้า ครม. ยื่นเรื่องขึ้นค่าแรงชาวไทย 5-8% ย้ำไม่เกี่ยวกับการเมือง แค่มองว่าเวลาเหมาะสมแล้ว พร้อมทั้งอยากให้การปรับขึ้นค่าแรงเป็นขวัญกำลังใจทำงานให้ลูกจ้าง
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้สัมภาษณ์เรื่องความคืบหน้าการปรับค่าแรงขั้นต่ำ ว่า ความคืบหน้าในการปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ ในการประชุมไตรภาคีที่ประชุมกันแล้วทุกจังหวัด ขณะนี้ได้ตัวเลขมาแล้วแต่อำนาจในการไกล่เกลี่ยเปอร์เซ็นต์ให้เหมาะสม แต่ละจังหวัดจะมีความแตกต่างกันอยู่ประมาณ 1-2 บาท ซึ่งทางเรากำลังปรับขึ้นลงให้อยู่ จะทำประมาณโดย 12 ช่วง และตัวเลขจะไม่เท่ากัน และขึ้นเท่ากันทุกจังหวัดเป็นไปไม่ได้เพราะค่าครองชีพแต่ละจังหวัดนั้นไม่เหมือนกัน GDP ต่างกัน
“ในส่วนนี้ตนได้ให้นโยบายกับท่านปลัดไปแล้วว่าต้องทำให้จบภายในสิงหาคมนี้ น่าจะเข้าครม.ช่วงต้นเดือนกันยายน โดยปกติผลบังคับใช้จะเป็นช่วงต้นปีทุกครั้ง เพื่องบดุลของแต่ละบริษัท แต่ครั้งนี้ต้องยอมรับว่าระยะเวลาที่ผ่านมาหนึ่งปีกว่านั้น เราไม่ได้ปรับค่าแรงเลย เพราะอยู่ในช่วงสถานการณ์แก้ปัญหา การเยียวยา การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งรัฐบาลได้อุดหนุนและเยียวยา SME ประคับประครองการจ้างงานประมาณ 10 ล้านคน”
ตลาดจ้างงานช่วงสองไตรมาสแรกของปี 65 บวกมาอีก 6 แสนกว่าคน และในช่วงสถานการณ์ต่างๆ ของช่วงที่ผ่านมาในปี 63-64 ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ทั่วโลกนั้นได้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การจะขึ้นค่าแรงสวนทางกับสถานการณ์ทั่วโลกนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีใครทำ ทางรัฐบาลเองได้ช่วยประคับประครองไม่ให้มีการเลิกจ้าง ซึ่งในวันนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่เราและนายจ้างต่างก็เห็นดีเห็นงามด้วยเพื่อให้ลูกจ้างมีขวัญกำลังใจในการทำงาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่เรากำหนดประมาณ 5-8%นั้น มีพื้นฐานการตั้งตัวเลขมาจาก GDP ภาวะเงินเฟ้อของประเทศเป็นตัวตั้งและนำ GDP ของแต่ละจังหวัดมาคำนวณ โดยอิงสถานการณ์ค่าครองชีพหรือเม็ดเงินล้อจากฐานเดิม ในช่วงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตหรือจังหวัดพื้นที่ EEC กทม. ต้องขึ้นสูงขึ้น
เพราะค่าครองชีพ GDP ของจังหวัดเหล่านี้เติบโตตามเศรษฐกิจ โดยย้ำว่าขอให้พี่น้องประชาชนเชื่อมั่นว่าทางเราจะเร่งรัดและนำเข้าครม.ในเดือนกันยายนนี้ให้ได้ ส่วนตัวนั้นตนอยากให้มีผลบังคับใช้วันที่ 1 ตุลาคม เพราะตนคิดว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม
และตอนนี้อยู่ในขั้นตอนหารือกับสภานายจ้างว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะปรับให้ขึ้นเร็วกว่าต้นปี 2566 เพราะขณะนี้สินค้าอุปโภคบริโภคมีการปรับราคาไปแล้ว ขอให้เชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
เมื่อโดนถามว่าการนำเรื่องนี้จะทำให้รัฐบาลถูกมองว่าเป็นการใช้ประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า “มองว่าเป็นเรื่องช่วงเวลามากกว่า ถ้าคิดว่าการขึ้นค่าเเรงเป็นเรื่องการเมือง คงขึ้นค่าแรง 492 บาทตามข้อเรียกร้องของผู้นำแรงงานไปแล้ว ขอร้องอย่าเอาเรื่องค่าแรงเป็นเรื่องการเมือง เพราะเป็นเรื่องของเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศชาติ เราไม่สามารถเอาเรื่องค่าแรงเป็นเรื่องการเมืองแต่เราปรับตามเวลาที่เหมาะสม”
ดังนั้นนี้จึงถือว่าเป็นข่าวดีในช่วงครึ่งปีหลังให้กับเหล่าบรรดาลูกจ้างในไทยอย่างแน่อน และเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้เหล่าบรรดาลูกจ้างมีแรงใจในการทำงานเพิ่มขึ้น