SHORT CUT
เปิดประวัติ “พิชัย ชุนหวชิระ” รมว.คลัง กระทรวงเกรดเอ เคยช่วยงาน “ทักษิณ” มาตั้งแต่การแปรรูป ปตท. พร้อมทั้งช่วยสู้คดีจำนำข้าวยุค “ยิ่งลักษณ์” เป็นพยานปากเอก
หลังจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐา 1/1 ทั้งนี้มีการปรับเปลี่ยนขยับในหลายตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรีหน้าใหม่ป้ายแดงเข้ามารับตำแหน่งที่สำคัญ หนึ่งในนั้นคือนายพิชัย ชุณหวชิร เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
พิชัย ชุณหวชิร เกิด 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492 ปัจจุบันอายุ 76 ปี เป็นนักธุรกิจเเละนักการเมืองชาวไทย เคยเป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและเป็นประธานกรรมการ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ปี 2544-2550 เป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงินและบัญชีองค์กร บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นยุคที่รัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” แปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เป็นบริษัทมหาชนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ในปี 2551-2552 ขยับขึ้นมาเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และเกษียณจาก ปตท.ในตำแหน่งดังกล่าว โดยในช่วงดังกล่าวนายพิชัยถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง
นายพิชัย เป็นที่ไว้วางใจของ “นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (2546-2548) แม้จะไม่ได้มีบทบาทในการเปิดหน้าออกสื่อแต่ถือได้ว่าเป็นมือขวาของนายแพทย์พรหมินทร์ในช่วงที่รัฐบาลมีการแปรรูป ปตท.เพื่อจดทะเบียนใน ตลท.
ในรัฐบาล "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายพิชัยได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และเข้ามาเป็นกรรมการบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ในปี 2556
ก่อนการรัฐประหาร 2 เดือน “นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ลงนามแต่งตั้งให้นายพิชัย เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเดือน เม.ย.2557
ภายหลังการรัฐประหารปี 2557 นางสาวยิ่งลักษณ์ ได้เข้าชี้แจงข้อกล่าวหาคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยมีพยาน 11 ปาก ในจำนวนดังกล่าวมีนายพิชัย เป็นพยานให้ด้วยในบทบาทนักบัญชีที่จะนำข้อมูลตัวเลขมาชี้แจงหักล้างข้อมูลของ ป.ป.ช.
หลังจากที่นายพิชัย ได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถือว่ามีภารกิจสำคัญ โดยเฉพาะการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เติบโตเต็มศักยภาพและขยายตัวได้ 5% ต่อปี ตามเป้าหมายที่รัฐบาลได้ประกาศไว้ รวมทั้งประคับประคองเศรษฐกิจท่ามกลางความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์
ซึ่งจะได้ใช้ความเชี่ยวชาญในฐานะนักบัญชี เพื่อบริหารงบประมาณปี 2567-2568 สำหรับโครงการ “เงินดิจิทัล” ที่เป็นโครงการสำคัญที่รัฐบาลกำลังผลักดัน ซึ่งจะใช้งบประมาณถึง 500,000 ล้านบาท โดยเฉพาะแหล่งเงินในส่วนของงบประมาณรายจ่ายปี 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท ที่จะต้องเกลี่ยให้ลงตัว โดยไม่ให้กระทบกับโครงการลงทุนที่จำเป็น ในเงื่อนไขที่เหลือเวลาใช้งบฯ 5 เดือน และการออกกฎหมาย พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย
โดย โครงการดิจิทัลวอลเล็ต คาดหวังผลลัพธ์กระชากเศรษฐกิจไทยผงกหัวขึ้นและเกิดผลเร็วที่สุดผ่านการใช้จ่ายเพื่อการบริโภค โดยหลังจากนั้นโจทย์สำคัญคือการวางแผนมาตรการการคลังเพื่อรักษาโมเมนตัมการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะต่อไป
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการบริหารมาตรการภาษี รวมทั้งการปฏิรูปโครงสร้างภาษีเพื่อเพิ่มการจัดเก็บรายได้รัฐบาล ทั้งการออกภาษีใหม่ การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีเดิม เพื่อลดการขาดดุลนโยบายการคลังและกลับสู่การสร้างงบประมาณสมดุลในระยะยาว รวมทั้งสอดคล้องกับการดำเนินนโยบายสวัสดิการของรัฐ ที่จะรับภาระหนักขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง