SHORT CUT
“ทักษิณ” ขึ้นเวที The World's Next โชว์วิสัยทัศน์ ปั้นดิจิทัลวอลเล็ตเต็มระบบได้เห็นแน่ในปีนี้ ฟุ้ง “สเตเบิลคอยน์” เสร็จภายใน 3 เดือน
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ และบางกอกคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ร่วมงาน MFC’s 50th Anniversary The World's Next Opportunities and Beyond เปิดโอกาสลงทุนแห่งอนาคต“ และจะร่วมเสวนาในหัวข้อ “โอกาสและอนาคตของการลงทุน”
โดยมีรัฐมนตรี นักการเมือง และนักธุรกิจ อาทิ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา นายสมชัย สัจจพงษ์ ประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทย นายปิฎก สุขสวัสดิ์ สามีนายกรัฐมนตรี และ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานกรรมการบริหารของเครือเจริญโภคภัณฑ์ ต้องร่วมงานอย่างคึกคัก
ทั้งนี้ ภายในงานจัดโต๊ะใหญ่ เป็นตัว U โดยนายทักษิณ นั่งตรงกลาง มี นายณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ บริษัทอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ และประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็มเอฟซี นั่งด้านขวา ส่วนด้านซ้ายมี นายชาติศิริ โสภณพนิช ประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ นั่งร่วมด้วย
จากนั้นเวลา 19.43 น. เป็นการแลกเปลี่ยนความเห็นในหัวข้อ “โอกาสและอนาคตของการลงทุน” โดยพิธีกรได้ตั้งคำถามว่า อะไรคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปของโลกเรา และการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ในระดับโลกและภูมิภาค ในความคิดคุณคืออะไร ซี่ง นายทักษิณ กล่าวว่า สำหรับพรรคเพื่อไทยให้คำมั่นสัญญามุ่งมั่นอยากให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของบล็อคเชนและคริปโตเคอเรนซี่ ซึ่งเชื่อว่าเรามีความพร้อมและสามารถบรรลุเป้าหมายได้ และวางแผนจะมีแซนบ็อกซ์ที่ภูเก็ต โดยใช้คริปโตเคอเรนซี่เป็นสกุลเงินในการแลกเปลี่ยน รวมถึงสเตเบอร์คอยล์ ด้วยการรองรับจากพันธบัตรรัฐบาลได้เตรียมแผนตรงนี้ไว้ ภายใน 3 เดือน
“ปัจจุบันเรากำลังทำดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อปูทางสิ่งเหล่านี้ นำดิจิทัลไอดีให้ประชาชนได้ใช้ และเราจะมาสร้างบล็อกเชนของประเทศ ตนคิดว่าสิ่งเหล่านี้ทุกคนจะเห็นภายในปีนี้แน่นอน“ นายทักษิณ กล่าว
นายทักษิณ กล่าวต่อว่า หลังจากที่ได้กลับประเทศ ได้พูดคุยกับหลายคนที่อยากมาลงทุนในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องดาต้าเซ็นเตอร์ AI และระบบคลาว ซึ่งตนมั่นใจว่าไทยมีความสามารถและสามารถดึงดูดนักลงทุนได้ แต่ผู้จะมาลงทุนในประเทศไทยส่วนหนึ่งก็ได้มีการถามถึงพลังงานสีเขียว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำให้ราคาพลังงานในประเทศไทยถูกลงให้ได้ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดพลังงานสีเขียวราคาต่ำ และวงการ AI
นอกจาหนี้ ตนมีความฝันอยากให้คนไทยมีความรู้ด้าน AI ภายใน 10 ปีนี้ เพราะ AI มีอิทธิพลและบทบาทในชีวิตของเรามาก และสามารถเพิ่มศักยภาพได้ ถ้าเรารู้วิธีการใช้ ตนพยายามหาวิธีว่าไทยสามารถปรับ AI มาใช้อย่างไรได้บ้างให้เท่าทันโลก เช่น โรงพยาบาลเขต มีหมอ 1 คน คนต่อไปอาจเห็น AI เป็นคุณหมอ ช่วยวินิจฉัย ประเมินโรค ทำงานแทนคุณหมอได้ในบางพื้นที่ คิดว่าเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยได้ และไม่ต้องรอ เราต้องเริ่มในวันนี้
พิธีกรตั้งคำถามว่า ในประเทศไทยถ้าเราไม่ลงมือทำ จะมีผลอะไรตามมา นายทักษิณ ยืนยันว่า เราต้องลงมือทำตอนนี้เลย โดยเฉพาะ AI สิ่งที่เรามีในปัจจุบันคือโครงสร้างพื้นฐาน แต่ถ้าเรานำเทคโนโลยีมาผนวกด้วยก็จะทำให้มีศักยภาพ และมีความสำคัญต่อโลกใบนี้มากขึ้น แต่ถ้าเราไม่นำเทคโนโลยีเข้ามา ก็จะล้าหลัง ตามหลังประเทศอื่นในโลกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการเทคโนโลยีที่ปัจจุบันต้องการบุคลากรจากต่างประเทศด้วย ทั้งนี้ พวกเรายังมีข้อได้เปรียบที่สามารถดึงดูดคนที่ต้องการมาลงทุนฮับในประเทศไทย ทั้งการแพทย์อาหารและการท่องเที่ยว จะช่วยให้เราเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ
พิธีกรตั้งคำถามว่า 1 สิ่งที่อยากเห็นในประเทศไทย อีกใน 12 เดือนข้างหน้า นายทักษิณ กล่าวว่า ตนอยากหาสักที่ในกรุงเทพฯ ให้เป็นดาต้าเซฟโซน ทำให้โซนนั้นเป็นดิจิทัลเอ็มบาสซี่ หรือ สถานทูตดิจิทัลที่หลายประเทศมาอยู่ตรงนั้น และจะทำให้ประเทศไทยเป็น AI ฮับ นี่คือความฝันของตน และจะทำให้เป็นจริงได้มันจะไม่ใช่ความฝัน มันยาก มันท้าทายแต่มันเป็นจริงได้ เราต้องทำให้ต้นทุนค่าพลังงานต่ำที่สุดเพื่อให้ได้ก่อนมิฉะนั้นเราจะไม่สามารถทำเหล่านี้ได้
จากนั้นเป็นคำถามของผู้ที่มาร่วมงาน โดย นายทอม เครือโสภณ ได้สอบถามเรื่องพลังงานนิวเคลียร์ในไทย ซึ่ง นายทักษิณ กล่าวว่า ตอนนี้มีพลังงานนิวเคลียร์หลากหลาย ซึ่งเทคโนโลยีนี้ค่อนข้างใช้เยอะแล้ว เช่น จีน ญี่ปุ่น แต่ก็ยังแพงอยู่ สำหรับพลังงานสีเขียว เช่น โซล่าร์เซลล์ ถือว่าต้นทุนพลังงานลดลงไปมากแล้ว อาจจะเหลือ 1 บาทด้วยซ้ำ ถ้าเราสามารถใช้พลังงานสีเขียวมากขึ้น โดยที่ต้นทุนต่ำ และใช้น้ำมัน ถ่านหิน น้อยลง ตนคิดว่าจะทำให้ต้นทุนลดต่ำลงอีก 6-7 เซนต์ แต่ขณะเดียวกันเรื่องการบริหารจัดการไฟฟ้า เราจะต้องเพิ่มการใช้ สมาร์ทกริด (Smart Grid) มากขึ้น (Smart Grid คือระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ ที่นำเทคโนโลยีหลากหลายประเภทเข้ามาทำงานร่วมกัน)
ส่วนเรื่องค่าไฟจาก 11 เซนต์ เป็น 3 เซนต์ จะมีวิธีการลดต้นทุนพลังงานอย่างไร นายทักษิณกล่าวว่า ทั่วโลกเวลาพูดถึง 2 เซนต์ เราต้องมีแผนการเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถแข่งขันได้ แต่มันไม่ง่าย เพราะตอนนี้เราต้องใช้พลังงานจากถ่านหิน และนำเข้า แต่ก็ไม่พอเพราะฉะนั้นต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติ แอลเอ็นจี ทำให้ต้นทุนพลังงานสูง และปัจจุบันเราต้องใช้รูปแบบนี้ แต่โซลาร์เซลล์ก็ดีขึ้น ซึ่งต้องใช้พื้นที่เยอะติดตั้งโซล่าเซลล์ ดังนั้นถ้าเราไปติดตั้งโซล่าเซลล์ ก็จะเสียพื้นที่การเกษตร ก็ต้องวางแผน และคิดแก้ปัญหาว่าจะทำอย่างไรให้ลดต้นทุนได้ในการผลิตพลังงาน ซึ่งปัจจุบันสิ่งที่ทำได้ 8 เซนต์น่าจะเป็นไปได้ 2 เซนต์น่าจะอีกไกล แต่ 11 เซนต์ไป 8 เซนต์ เราจะทำให้ได้ ไม่งั้นเราจะแข่งขันกับใครไม่ได้เลย เพราะหลายประเทศอยากมาลงทุน ตนได้คุยกับหลายบริษัท 6 -7 เซนต์ยอมรับได้ แต่มันต้องลดให้เหลือ 2.50 บาทตอนนี้ 4.12 บาท ตอนนี้ต้องมีแผนการ
ส่วนเราจะเตรียมตัวอย่างไร ในฐานะคนวางนโยบายในการรับมือกับ สังคมดิจิทัล ให้แข่งขันอย่างยุติธรรม นายทักษิณ ระบุว่าเราพูดถึงเรื่องนี้มา 20 ถึง 30 ปีแล้ว แต่ตอนที่นางสาวยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯ ก็จะให้แท็บเล็ตฟรี เพื่อพยายามจะลด ช่องว่างทางเทคโนโลยี แต่ตอนนั้นถูกรัฐประหารไป จึงยกเลิก ปัจจุบันเรามีสมาร์ทโฟน สำหรับอุปกรณ์ดิจิตอล ก็พัฒนามากขึ้น รัฐบาลก็พยายาม ลด 2G เอาสมาร์ทโฟนมาแทนอนาล็อกโฟน เราน่าจะฝึกคนไทย อบรมให้การศึกษา ให้ทันการใช้ AI ได้มากขึ้น เราไม่ต้องเขียนซอฟต์แวร์ เอง AI สามารถช่วยเราทำตรงนี้ได้