พรรคประชาชน แถลงสรุปภาพรวม อบจ. ยอมรับ ยังรณรงค์ให้คนออกมาใช้สิทธิ์ไม่มากพอ ชี้ เลือกตั้งวันเสาร์เป็นผลการทำให้ผู้ออกมาใช้สิทธิลดลง ขอกกต.ทบทวนแนวทางประกาศวันเลือกตั้ง พร้อมเตรียมยื่น กกต. ตรวจสอบบัตรเสีย สมุทรปราการ-เชียงใหม่
ช่วงบ่ายวันนี้ ที่อาคารอนาคตใหม่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน พร้อมด้วย ศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรค นำนายวีระเดช ภู่พิสิฐ ผู้สมัครนายก อบจ.ลำพูน ที่ชนะการเลือกตั้ง แถลงข่าวสรุปผลการเลือกตั้งอบจ. หลังชนะการเลือกตั้ง นายกอบจ. 1จังหวัด
โดย นายณัฐพงษ์ ระบุว่า หลังจากผลการเลือกตั้งออกมาครบทั้ง 47 จังหวัด ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชนขอแสดงความขอโทษพี่น้องประชาชน ที่อาจจะยังรณรงค์ในการให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งในระดับท้องถิ่น หรือ อบจ. ยังไม่แข็งขันพอ ทำให้ในวันนี้ อาจจะยังมีนายก อบจ. ที่ไม่มากพอ และสิ่งที่พรรคฯ ยืนยันมา โดยตลอดคือการออกไปใช้สิทธิ์ของประชาชนว่าถ้ามีผู้ออกมาใช้สิทธิ์มากเท่าไรก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อการพัฒนาท้องถิ่นมายิ่งขึ้นเท่านั้น
จึงอยากขอขอบคุณพ่อแม่พี่น้องชาวจังหวัดลำพูน ที่ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งสัดส่วนถือเป็นอันดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับอีก 47 จังหวัดที่เหลือ จนทำให้พรรคประชาชนได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกอบจ.ในจังหวัดลำพูน
พร้อมยอมรับว่า รู้สึกเสียดายโอกาสที่อีกหลายๆ จังหวัด หากพรรคประชาชนสามารถรณรงค์ให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิ์มากกว่านี้ ก็อาจจะสามารถชนะการเลือกตั้งในระดับ อบจ.ได้ ทั้ง จังหวัดเชียงใหม่ นครนายก สมุทรปราการ ตราด และสมุทรสงคราม ที่เรายังไม่สามารถเฉือนชนะการเลือกตั้งได้ และแพ้ไปเพียงไม่ถึง 10 %เท่านั้น
ส่วนสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ได้รับการลือตั้ง 132คนจาก33จังหวัดที่ได้ส่งลง แบ่งเป็น จังหวัดที่พรรคส่งผู้สมัครนายก อบจ. 80 คน และจังหวัดที่พรรคไม่ได้ส่งผู้สมัครนายก อบจ.อีก 52 คน ซึ่งยืนยันว่า ระดับ ส.อบจ.จะทำหน้าที่ในการตรวจสอบการใช้งบประมาณอย่างแข็งขัน รวมถึงผลักดันการบรรจุงบประมาณต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ได้
นายณัฐพงษ์ ยังระบุด้วยว่า อยากสื่อสารถึงการทำงานต่อไปข้างหน้า ซึ่งคือแผน 100 วันแรกของปีแรกในการพัฒนาจังหวัดลำพูน ที่จะขับเคลื่อนทันที เพราะมีข้อมูลเชิงพื้นที่ จุดกำเนิดไฟป่า แผนพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก และพื้นที่กนะจึกตัวของประชากร รวมถคงพื้นที่เกิดอุบัติเหตุก็เอาวิเคราะห์ทำนโยบาย ทั้งการแก้ปัญหาระบบสาธารณสุข ซึ่งมีทั้งนโยบาย รพสต. โดยจะผลักดันให้ลดการเข้าไปใช้บริการในโรงพยาบาลศูนย์ รวมถึงปัญหาถนนหนทาง น้ำท่วมต่างๆ ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่การจัดทำงบประมาณปี 69 โดยในเดือน ก.พ.-พ.ค. พรรคประชาชนจะลงพื้นที่ไปสอบถามประชาชนว่าจุดไหนมีความจำเป็นเร่งด่วนมากกว่ากัน
ขณะที่ นายศรายุทธิ์ กล่าวด้วย ข้อมูลที่ได้มาตอนนี้อาจจะยังไม่ครบ และเลือกจังหวัดนำมาวิเคราะห์ เพราะได้ข้อมูลที่น่าสนใจว่ามีผู้มาใช้สิทธิลดลง เหลือ 55% จาก 68% ทำให้คะแนนหายไป 7-8%ที่ไม่ได้มาใช้สิทธิ หรือคิดเป็นประมาณ2ล้านคน ซึ่งมองว่าน่าจะมีผลมาจากการเลือกตั้งวันเสาร์ อย่าง จังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิ์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ จันทบุรี ภูเก็ต ตัวเลขคนไม่มาใช้สิทธิหายไป10% และยังมีจังหวัดนนทบุรี สมุทรปราการ สุราษฎร์ธานี ชลบุรี และระยอง จึงมองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ และอยากให้ กกต.ทบทวน แนวทางการประกาศวันเลือกตั้งในอนาคต ว่าการเลือกตั้งในวันเสาร์ สอดคล้องกับการดำเนินการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนหรือไม่ เพราะการเลือกตั้งในครั้งนี้ ถือว่าเป็นผลพิสูจน์บทหนึ่ง ว่าการเลือกตั้งในวันเสาร์ไม่ตอบโจทย์ต่อการใช้ชีวิตจริงของประชาชน และไม่เอื้อให้ประชาชนเข้ามาใช้สิทธิ์ได้
ส่วนจังหวัดที่น่าสงสัย คือ เชียงใหม่ และสมุทรปราการ ที่ระบุว่าเป็นบุตรเสียจำนวนไม่น้อย ซึ่งอาจจะมีผลกับการเลือกตั้ง จึงต้องมีการไปยื่นกับ กกต.ในวันพรุ่งนี้ เพื่อให้มาตรวจสอบบัตรเสียว่าถูกต้องตามข้อมูลที่เปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้หรือไม่
ด้าน นายวีระเดช ระบุด้วยว่า ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคนที่ออกมา ถ้ากกต.รับรองแล้วก็จะตั้งใจทำงานจากนายก อบจ.จากพรรคประชาชน โปร่งใส มีประสิทธิภาพ และทำงานร่วมกับประชาชน ส่วนจะเป็นการสร้างความกดดันในการทำงาน4ปีให้กับผู้สมัครหรือไม่นั้น นายวีระเดช ระบุว่า ไม่ได้รู้สึกกดดันเพราะได้ทำนโยบายมาก่อนแล้วที่ตั้งอยู่บนความเป็นไปได้ และคิดว่าทำได้แน่นอน
นอกจากนี้ นายณัฐพงษ์ ยังตอบคำถามถึงกรณี ที่จังหวัดลำพูนชนะ เพราะมีคนที่มาใช้สิทธิ์ค่อนข้างเยอะ จึงกลายเป็นการตอกย้ำว่าพรรคประชาชนแพ้ตั้งแต่เริ่มแข่ง เพราะมีข้อเสียเปรียบเยอะใช่หรือไม่ ว่า ไม่อยากให้โทษว่าเป็นประเด็นใดประเด็นหนึ่ง อย่างการแถลงตั้งแต่ครั้งแรก เรายืนยันว่า จำนวนของคนที่ออกมาแสดงพลังจะเป็นประโยชน์ที่สุดต่อการเลือกตั้ง แต่ขณะเดียวกัน เราเองอาจจะยังรณรงค์ไม่แข็งขันมากเพียงพอ ที่จะทำให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิ์น้อยกว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม การจัดการเลือกตั้งให้มีความโปร่งใส ยุติธรรม และประชาชนสะดวกในการออกมาใช้สิทธิ์มากที่สุด ก็เป็นหน้าที่ของ กกต. และหากความผิดปกติ ก็จะดำเนินการต่อไป
ส่วนกรณีที่มีการยื่นเรื่องร้องเรียนเข้ามาประมาณ30กว่าเรื่อง ได้ให้ผู้สมัครไปยื่นต่อ กกต.แล้ว ทั้งเรื่องการออกมาใช้สิทธิในจังหวัดสมุทรปราการ ที่มีผลการเลือกตั้งออกมา และผู้มาใช้สิทธิ์ลดลง ถือว่าเป็นกรณีที่ผิดปกติ
ส่วนที่พรรคประชาชนตั้งเป้าจะได้ 4 หัวเมือง แต่ตอนนี้ได้เพียง 1 จังหวัด ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จใช่หรือไม่ นายณัฐพงษ์ ระบุว่า ตนเองไม่เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น กรณีตัวอย่างของอบจ. จังหวัดลำพูน จะเห็นว่า ทันทีที่เราทราบผลการเลือกตั้งอย่างชัดเจน เราพร้อมที่จะลงมือทำงานทันที ไม่ต้องรอให้นายวีระเดช ได้รับรับรองตำแหน่ง และพร้อมที่จะส่งทีมงานไปทำงานในพื้นที่ทั้ง 8 อำเภอ ในจังหวัดลำพูน และก่อนถึงเดือนพฤษภาคมที่จะเป็นฤดูกาลที่ทางนายกฯ จะต้องเสนอร่างงบประมาณประจำปี 69 ตอนนั้นเราจะมีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม และปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่จังหวัดลำพูน ส่วนไหนที่เราสามารถบรรจุได้ในงบเพิ่มเติมกลางปี 68 ส่วนไหนที่เราบรรจุในงบประมาณปี 69 เราก็พร้อมให้ประชาชนทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของเรา
นักข่าวยังถามถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปราศรัยบนเวทีว่า “แดงกินส้ม” ผลการเลือกตั้งตอนนี้สะท้อนตามวลีที่นายทักษิณพูดหรือไม่ นายณัฐพงษ์ ระบุว่า
“จริง ๆ ผมคิดว่าแล้วแต่การตีความ ว่าการกินส้มหมายถึงยังไง เพราะส้มเองก็เป็นผลไม้มงคล และที่จังหวัดลำพูนเอง ก็เป็นสนามหลักที่ผมคิดว่าเราจะสามารถพิสูจน์ฝีมือให้ทุกคนเห็น และการทำงานการเมืองที่มีคุณภาพ ทำงานอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา นำเสนอนโยบายให้กับพ่อแม่พี่น้องประชาชนเห็นได้ น่าจะเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการที่เราโยนวลีใส่กันไปมา และใส่สื่อมวลชนผ่านหน้าสื่อ”
ส่วนการที่นายทักษิณ ลงพื้นที่หาเสียง ก็ไม่ได้ชนะทุกเวที ถ้ามองในการเมืองภาพใหญ่นายทักษิณยังถือว่ามีมนต์ขลังหรือไม่ในการเลือกตั้ง นายณัฐพงษ์ ระบุว่า หากภาพรวมการเลือกตั้งทั้งประเทศ ต้องบอกว่าสัดส่วนที่ได้มากสุด คือผู้สมัครที่ประกาศลงในนามอิสระ ไม่สังกัดพรรคการเมืองใดโดยตรง แต่เราก็จะรู้ตามหน้าสื่อมวลชนอยู่แล้ว ว่าผู้สมัครใดที่สังกัดพรรคการเมืองใดในเบื้องหลัง เพราะฉะนั้น ในมุมหนึ่งตนเองคิดว่าสิ่งที่ตอนนี้เราเห็นเรื่องการไม่เต็มที่กับการกระจายอำนาจของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นพรรคแกนนำของรัฐบาล อาจจะเกิดขึ้นได้จากการแข่งขันในสนามการเมืองท้องถิ่นหรือไม่ ในระหว่างพรรครัฐบาลด้วยกันหรือไม่ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เราจะต้องช่วยกันตั้งคำถามต่อไป