SHORT CUT
การกลับมาของทรัมป์ ระยะสั้นได้ ระยะยาวเสีย โอกาสและสภาวะผันผวนที่ไทยต้องรับมือ ในสถานการณ์โลกที่อเมริกาคือผู้นำ
การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสมัยที่ 2 ก่อให้เกิดความสนใจและความวิตกกังวลไปทั่วโลก เนื่องจากนโยบาย "America First" ที่เน้นผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก SPRiNG จะวิเคราะห์นโยบายสำคัญของทรัมป์ มุมมองของนักวิชาการ และการวิเคราะห์จากแหล่งข่าวต่างๆ รวมถึงศูนย์วิจัยกสิกรไทย ถึงผลกระทบต่อสหรัฐอเมริกา โลก และประเทศไทย
ขณะที่ทรัมป์เคยกล่าวว่า เขาจะเป็น “เผด็จการ” แค่เฉพาะ 24 ชั่วโมงแรกที่รับตำแหน่งเท่านั้น และบอกกับสมาชิกวุฒิสภาพรรครีพับลิกันว่า เขากำลังเตรียมออกคำสั่งฝ่ายบริหารราว 100 ฉบับในวันแรกที่เป็นประธานาธิบดี
ทรัมป์มีแผนยกเลิกหลายนโยบายที่คืบหน้าในสมัยรัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยสิ่งที่ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะทำตั้งแต่วันแรก มีดังนี้
ปิดพรมแดนและห้ามการเดินทางอีกครั้ง: ทรัมป์มีแผนปิดพรมแดนภาคใต้, ห้ามการเดินทางอีกครั้ง และระงับการขอลี้ภัยเข้าสหรัฐ
เนรเทศครั้งใหญ่และยุติการได้สัญชาติด้วยการเกิด: ทรัมป์ตั้งใจ “ปฏิบัติการเนรเทศครั้งใหญ่สุด” ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ โดยเน้นการโยกย้ายอาชญากร, คนที่เพิ่งข้ามพรมแดนเข้ามา และคนที่ถูกศาลสั่งเนรเทศ รวมถึงยกเลิกซีบีพีวัน แอปพลิเคชันตรวจคนเข้าเมืองที่ออกมาใช้ในสมัยไบเดน นอกจากนี้ ทรัมป์ยังจะยุติการได้สัญชาติด้วยการเกิด ซึ่งหมายความว่าลูกของคนลักลอบเข้าเมืองจะไม่ได้เป็นพลเมืองอเมริกันโดยอัตโนมัติ
อภัยโทษคดี 6 ม.ค.: ทรัมป์จะอภัยโทษคนที่ถูกดำเนินคดีในการจลาจลบุกรัฐสภาในวันที่ 6 ม.ค. 2021 ที่ถูกดำเนินคดีอาญา โดยทรัมป์กล่าวว่าจะดำเนินการอย่างรวดเร็ว อภัยโทษให้กับผู้ต้องคดีอาญาหลายคนจากจำนวนกว่า 1,500 คน
ยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน: ทรัมป์กล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า จะยุติสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนก่อนรับตำแหน่ง โดยอ้างความสัมพันธ์ที่เขามีกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย และประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกีของยูเครน จะช่วยให้เขาเป็นคนกลางสร้างสันติภาพระหว่างสองชาติได้
ยุติบังคับใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและนโยบายกรีนนิวดีล: ทรัมป์จะยกเลิกนโยบายเกี่ยวกับสภาพอากาศหลายฉบับที่ออกโดยรัฐบาลไบเดน เช่น ยุติการบังคับใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และยกเลิกกฎหมายการผลิตพลังงานฟอสซิล, ยกเลิกการบังคับใช้ยานยนต์ไฟฟ้า และขยายการขุดเจาะน้ำมันภายในประเทศ ยกเลิกคำสั่งห้ามขุดเจาะนอกชายฝั่งของรัฐบาลปัจจุบัน ขณะเดียวกันเขาได้ลงนามถอนตัวจากข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งเป็นข้อตกลงที่กว่า 195 ประเทศร่วมมีเป้าหมายจำกัดภาวะโลกร้อนในระยะยาวให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส หรือหากไม่สามารถทำได้ ให้รักษาอุณหภูมิให้อยู่ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม
ยกเลิกระเบียบรัฐบาลกลาง: ทรัมป์จะขจัดระเบียบรัฐบาลกลางจำนวนมาก ที่เขามองว่าทำให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น
ห้ามข้ามเพศเล่นกีฬาผู้หญิงและเข้ากองทัพ: ทรัมป์จะห้ามหญิงข้ามเพศแข่งขันในกีฬาของผู้หญิง และห้ามบุคคลข้ามเพศรับราชการในกองทัพ
ตัดงบประมาณโรงเรียน ‘ตื่นรู้’ : ทรัมป์จะตัดงบประมาณโรงเรียนที่สอนทฤษฎีเชื้อชาติสำคัญ (ซีอาร์ที) หรือบังคับฉีดวัคซีน ทั้งยังห้ามกองทัพสอนซีอาร์ที ยกเลิกข้อกำหนดด้านความหลากหลาย ครอบคลุม และไม่แบ่งแยก (ดีอีไอ) ของรัฐบาลกลาง
แม้คำมั่นสัญญาในวันแรกของทรัมป์สามารถบรรลุได้ด้วยการออกคำสั่งฝ่ายบริหาร แต่บางเรื่องอาจต้องต่อรองกับสภาคองเกรสหลายเดือนหรือหลายปี โดยเฉพาะในประเด็นอย่างสิทธิพลเมืองด้วยการเกิด และคำสั่งรัฐบาลกลางว่าด้วยสิทธิบุคคลข้ามเพศ
รวมไปถึงเขาได้ลงนามคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหารหลากหลายฉบับ เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศตามที่ได้หาเสียงเอาไว้ โดยหนึ่งในนั้นคือ การพาสหรัฐอเมริกาออกจากการเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก (WHO)
โดยผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การที่สหรัฐฯ ถอนตัวจากองค์การอนามัยโลก อาจทำให้ขีดความสามารถของโลกในการป้องกันการระบาดครั้งใหม่ที่อาจเกิดขึ้นได้ลดน้อยลง เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นผู้บริจาครายใหญ่ที่สุดของ WHO และจัดหาเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขให้องค์กรนี้จำนวนหลายร้อยคน
แน่นอนว่าการกระทำของทรัมป์มีหลากหลายแง่มุมที่ต้องมองในมุมมองของนักวิชาการ รวมถึงสถาบันวิจัยต่างๆ ได้มีการคาดการณ์วิเคราะห์ออกมามากมาย
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (ดร.แดน) ประธานสถาบันการสร้างชาติ มองว่าการกลับมาของทรัมป์ครั้งนี้ จะเป็นการ "ดิสรัปชั่นในเวทีโลกครั้งใหญ่" เนื่องจากทรัมป์มีแนวคิดและวิธีการที่แตกต่างจากประธานาธิบดีคนอื่นๆ ทรัมป์ยังมี "ทรัมป์ปริซึม" (Trumpism) หรือลัทธิทรัมป์ ที่มีแนวคิดเฉพาะตัว การดำเนินนโยบายแบบ "ทรัมป์ ซินโดรม" จะส่งผลกระทบต่อทุกประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตร ศัตรู หรือประเทศที่ไม่ชอบอเมริกา ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ คาดว่านโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์จะส่งผลกระทบต่อชาวโลกอย่างมาก โดยเฉพาะการตั้งกำแพงภาษี
ด้าน สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ระบุว่านโยบาย “America First” ของทรัมป์ มุ่งเน้นการเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และการเมืองของสหรัฐอเมริกา ทรัมป์ประกาศชัดเจนว่าจะ สกัดกั้นจีน ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอัตราที่สูง ประเทศใดก็ตามที่ เป็นพันธมิตรกับจีน ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย นโยบายนี้จะทำให้สหรัฐอเมริกา ใช้อำนาจทางเศรษฐกิจเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง โดยไม่สนใจว่าประเทศอื่นๆ จะได้รับผลกระทบอย่างไร สศค. ประเมินว่านโยบายนี้จะทำให้การค้าการส่งออกไทยไปสหรัฐลดลง
ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ แนะนำให้ไทยเตรียมรับมือกับกำแพงภาษีของสหรัฐฯ โดยการเจรจาต่อรองและเสนอข้อแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจที่น่าสนใจ ไทยอาจ ได้รับผลกระทบทางอ้อม จากนโยบายสกัดกั้นจีนของทรัมป์ "ไชน่าพลัสวัน" (China+1) อาจทำให้บริษัทจีนย้ายฐานการผลิตมายังไทย เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่ สศค. ประเมินว่า FDI จากสหรัฐจะลดลง อย่างไรก็ตาม ไทยมีโอกาสได้รับประโยชน์จากการลงทุนของต่างชาติ ที่ต้องการย้ายฐานการผลิต สศค. มองว่าไทยมีโอกาสดึงดูดการลงทุนที่ต้องการย้ายฐานผลิตเพื่อหลบกำแพงภาษี ไทยยังมีโอกาส ขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐอเมริกาและจีน
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่านโยบายของทรัมป์ สร้างความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจไทย ในระยะสั้น ไทยอาจได้ประโยชน์จากการ ส่งออกสินค้าบางประเภทไปทดแทนสินค้าจีน แต่ในระยะยาว สินค้าส่งออกของไทยอาจถูกขึ้นภาษีนำเข้า เนื่องจากไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ การส่งออกและการท่องเที่ยว อาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว
ขณะที่ SCB EIC ได้วิเคราะห์ ตาม IMF ว่านโยบายทรัมป์ 2.0 เน้นการกีดกันการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลกโดยรวม นโยบายสำคัญของทรัมป์ 2.0 ประกอบด้วย
การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 60% และสินค้าจากประเทศอื่น 10%
การจำกัดผู้อพยพเข้าสหรัฐฯ ทั้งทางกฎหมายและผิดกฎหมาย
การลดการสนับสนุนด้านการทหารแก่พันธมิตร เช่น ยูเครน ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้
การมุ่งเน้นความมั่นคงด้านพลังงานมากกว่าการแก้ปัญหาโลกร้อน
การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและผู้มีฐานะมั่งคั่ง ซึ่งจะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ขาดดุลการคลังและต้องก่อหนี้มากขึ้น
1.นโยบายขึ้นภาษีนำเข้า: ส่งผลให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลดลง 0.3% ในช่วงปี 2025-2030
2.ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก: ส่งผลกระทบต่อการลงทุน โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม
3.นโยบายลดภาษี: ส่งผลกระทบสุทธิต่อเศรษฐกิจโลกเป็นบวก 0.1% ในช่วงปี 2025-2030
4.นโยบายกีดกันผู้อพยพ: ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลกรวม 0.2% ในช่วงปี 2025-2030
5.ภาวะการเงินโลกตึงตัวขึ้น: ส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจโลก แต่ผลกระทบจะเริ่มลดลงในปี 2028
จากการวิเคราะห์ของ IMF เศรษฐกิจโลกจะเริ่มได้รับผลกระทบเชิงลบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2025 และ 2026 จะลดลง 0.8% และ 0.4% ตามลำดับ โดยรวมแล้ว นโยบายทรัมป์ 2.0 คาดว่าจะกดดันให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลดลง 0.4%
สำหรับประเทศไทย SCB EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นจะได้รับผลกระทบเชิงลบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 ผ่านทางการค้าและการลงทุนเป็นสำคัญ
ผลกระทบต่อการส่งออก: การส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐฯ จะลดลง อีกทั้งสินค้าจีนอาจทะลักเข้ามาตีตลาดไทยมากขึ้น ส่งผลให้ SCB EIC ประเมินว่ามูลค่าการส่งออกไทยในปี 2025 จะลดลงประมาณ 0.8-1%
ผลกระทบต่อการลงทุน: ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอการลงทุนในไทย ส่งผลให้ SCB EIC ประเมินว่าการลงทุนภาคเอกชนไทยในปี 2025 จะลดลงประมาณ 0.4-0.5%
SCB EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2025 จะขยายตัวลดลงประมาณ 0.5% เทียบกับแนวโน้มเดิมก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ในระยะกลาง SCB EIC ประเมินว่าประเทศไทยอาจได้รับประโยชน์จากการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น หากประเทศไทยสามารถรักษาบทบาทเป็นกลางในเกมภูมิรัฐศาสตร์โลกได้ ประเทศไทยอาจได้รับประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทางการค้าและการลงทุนจากกลุ่มประเทศที่มีขั้วเศรษฐกิจต่างกัน
ด้าน รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง ได้วิเคราะห์ผลกระทบจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อประเทศไทย โดยคาดการณ์ว่าจะมีทั้งผลบวกและลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเศรษฐกิจ
การเก็บภาษีนำเข้า: นโยบายของทรัมป์มุ่งเน้นแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยการลดการขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งอาจนำไปสู่การเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกรวมถึงไทย ประมาณ 10-20%
ผลกระทบต่อการส่งออก: การเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ และจีน
การท่องเที่ยว: แม้ว่าการท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบน้อยกว่าการส่งออก แต่นักท่องเที่ยวจีนที่เน้นการท่องเที่ยวภายในประเทศมากขึ้น อาจส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง
การเจรจาต่อรอง: ไทยมีโอกาสเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบจากการเก็บภาษีนำเข้า
โอกาสในตลาดใหม่: การขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ และจีน จะช่วยลดผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์
การลงทุน: การเข้าสู่ยุควงจรเศรษฐกิจใหม่และอุตสาหกรรมใหม่ อาจดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้น
ผลกระทบต่อ GDP: ในกรณีที่ดีที่สุด เศรษฐกิจไทยอาจเติบโตได้ 3% ในกรณีที่แย่ที่สุด GDP อาจขยายตัวเพียง 2.5-2.6% เท่านั้น การส่งออกที่คาดว่าจะเติบโต 4-5% อาจลดลงเหลือเพียง 1-2%
รศ.ดร. สมชาย แนะนำให้ รัฐบาลไทยเตรียมพร้อมเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ
ขณะที่ สศค. เสนอแนะให้ไทยขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ พัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน และพัฒนาฝีมือแรงงาน
การกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงและความท้าทายต่อเศรษฐกิจและการเมืองโลก นโยบาย "America First" ของทรัมป์ อาจส่งผลกระทบทางลบต่อประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของกำแพงภาษีและการสกัดกั้นจีน อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต และการขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ สิ่งสำคัญคือการเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง และการปรับตัวอย่างเหมาะสม เพื่อลดผลกระทบทางลบ และคว้าโอกาสจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
อ้างอิง
PCC / กรุงเทพธุรกิจ1 / กรุงเทพธุรกิจ 2 / กรุงเทพธุรกิจ 3 / BBC1 / BBC2 / MTC / ศูนย์วิจัยกสิกร / Thaipublica /