SHORT CUT
โดยมีนายอนุชิต หงษาดี จากพรรคเพื่อไทย และนางสาวศุภพานี โพธิ์สุ จากพรรคภูมิใจไทย เป็นตัวเต็งที่น่าจับตา
การเมืองนครพนมมีผู้หญิงเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น เห็นได้จาก มนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และ ศุภพานี โพธิ์สุ ผู้สมัครนายก อบจ.
นครพนมเดือด 2 นายกรัฐมนตรี ประสาน มนพร ค่ายเพื่อไทย ขนทัพถล่มสหายแสงและลูกค่ายน้ำเงินภูมิใจไทย ลุ้นต่อไปจะเป็นอย่างไร
นครพนมเป็นจังหวัดที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์มาตั้งแต่อดีต ด้วยที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่มีพรมแดนติดกับประเทศลาวและแม่น้ำโขง ทำให้จังหวัดนี้กลายเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทั้งในแง่การเมือง เศรษฐกิจ และความมั่นคง โดยเฉพาะในช่วงสงครามเย็นที่นครพนมกลายเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ทางอุดมการณ์ระหว่างเสรีนิยมประชาธิปไตยและคอมมิวนิสต์
การเมืองของนครพนมมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจหลายประการ ประการแรก จังหวัดนี้เป็นพื้นที่ที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่องและเข้มข้น ตั้งแต่ยุคการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในทศวรรษ 2510 จนถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ประการที่สอง การเมืองนครพนมสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนผ่านที่น่าสนใจจากการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยอุดมการณ์มาสู่การเมืองที่ขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์และความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ และประการที่สาม จังหวัดนี้เป็นพื้นที่ที่มีการแข่งขันทางการเมืองระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ อย่างเข้มข้น ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
ไขแสง สุกใส เป็นนักการเมืองผู้ทรงคุณค่าของประเทศไทย ท่านเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครพนม 3 สมัย อดีตคนเดือนตุลา เจ้าของวลีอมตะ "คิดอะไรคิดเถิด อย่าคิดคด คดอะไรคดเถิด อย่าคดมิตร" และอดีตรองหัวหน้าพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย
ชีวิตช่วงต้นและการเข้าสู่การเมือง
ไขแสง เกิดที่อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดาเป็นทนายสืบเชื้อสายเจ้าราชบุตร ท่านเริ่มทำงานการเมืองตั้งแต่อายุ 22 ปี โดยได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาเทศบาลเมืองนครพนมในปี 2493 ต่อมาในปี 2497 ท่านถูกจับในข้อหากบฏภายในภายนอกราชอาณาจักร และมีการกระทำเป็นคอมมิวนิสต์ จนได้รับการนิรโทษกรรมในปี 2500
บทบาททางการเมืองในช่วงเหตุการณ์สำคัญ
การรัฐประหาร 2501: หลังจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจ ไขแสงถูกจับกุมอีกครั้งเนื่องจากถูกมองว่าเป็นฝ่ายซ้าย ท่านได้รับอิสรภาพในปี 2508
การเลือกตั้ง 2512: ไขแสงลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาชน
เหตุการณ์ 14 ตุลา: ไขแสงถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการแจกใบปลิวเรียกร้องรัฐธรรมนูญ โดยอ้างอิงพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
หลัง 14 ตุลา: ไขแสงเข้าร่วมพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย และได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค
เหตุการณ์ 6 ตุลา: ไขแสงต้องหลบหนีเข้าป่า และได้แต่งงานกับบุดดา กันยาเหมา
การเลือกตั้ง 2529: ไขแสงกลับมาลงเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ และชนะเลือกตั้งที่นครพนม
การก่อตั้งพรรคประชาชน: ไขแสงร่วมกับสมาชิกกลุ่ม 10 มกรา ก่อตั้งพรรคประชาชน
การเลือกตั้ง 2531: ไขแสงแพ้การเลือกตั้งและยุติบทบาททางการเมือง
ไขแสง สุกใส ถึงแก่กรรมในวันที่ 20 มีนาคม 2543 ตลอดชีวิตทางการเมือง ท่านเป็นนักการเมืองที่ยืนหยัดในอุดมการณ์ เป็นที่เคารพนับถือของคนทุกฝ่าย
อีกคนหนึ่งที่มีส่วนสำคัญของการเมืองนครพนมคือ ไพจิต ศรีวรขาน เป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครพนม ที่มีบทบาททางการเมืองมายาวนานกว่า 32 ปี โดยเป็น สส. ถึง 11 สมัย เขาเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และเป็นแกนนำกลุ่มอีสานพัฒนา ไพจิตเคยดำรงตำแหน่งสำคัญในพรรคการเมือง อาทิ รองเลขาธิการพรรคความหวังใหม่ และประธานคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎร
แม้จะมีข่าวลือเรื่องการย้ายพรรคไปภูมิใจไทย แต่ไพจิตยืนยันว่าจะอยู่กับพรรคเพื่อไทยต่อไป โดยเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยเป็นความหวังของประชาชน และยังคงทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของประชาชนอย่างเต็มที่
บทบาทสำคัญอื่นๆ ของไพจิต ศรีวรขาน ในทางการเมือง
การเปิดโปงแก๊งออฟโฟร์: ไพจิตมีบทบาทสำคัญในการเปิดเผยเรื่องอำนาจของแก๊งออฟโฟร์ ร่วมกับ ศักดา คงเพชร และ ปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข
ความสัมพันธ์ทางการเมืองกับ ศุภชัย โพธิ์สุ: ไพจิตมีความสัมพันธ์อันดีกับ ศุภชัย โพธิ์สุ (ครูแก้ว) จากพรรคภูมิใจไทย ทั้งคู่ร่วมมือกันในการเมืองท้องถิ่นมายาวนาน ถึงแม้จะมีความกังวลจาก ทักษิณ ชินวัตร ว่าไพจิตอาจจะย้ายไปร่วมงานกับภูมิใจไทยในอนาคต
การสนับสนุนพรรคเพื่อไทยในจังหวัดนครพนม: ไพจิตเป็นกำลังสำคัญของพรรคเพื่อไทยในจังหวัดนครพนม และมีบทบาทในการขับเคลื่อนนโยบายและการดูแลประชาชนในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม บทบาทของไพจิตในพรรคเพื่อไทย อาจได้รับผลกระทบจากการที่พรรคมีนโยบายผลักดันคนรุ่นใหม่ ซึ่งอาจทำให้เขาต้องขึ้นไปอยู่ สส. บัญชีรายชื่อ แต่ถึงอย่างไร ไพจิตก็ยังคงเป็นบุคคลสำคัญในแวดวงการเมืองของจังหวัดนครพนม และเป็น สส. ที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมาอย่างยาวนาน
ศุภชัย โพธิ์สุ เป็นนักการเมืองชาวไทย เกิดในครอบครัวเกษตรกรที่ยากจน ชีวิตในวัยเด็กของเขาเต็มไปด้วยความยากลำบาก หลังจากสูญเสียพ่อไปเมื่ออายุ 11 ปี เขาต้องช่วยแม่เลี้ยงดูพี่น้อง 7 คน เส้นทางชีวิตของเขาพลิกผันเมื่อตัดสินใจเข้าร่วมต่อสู้กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในช่วงวัยรุ่น โดยมีอีกชื่อหนึ่งว่า "สหายแสง"
หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์ล่มสลาย ศุภชัยผันตัวมาเป็นข้าราชการครูอยู่ช่วงหนึ่งก่อนจะเริ่มต้นเส้นทางการเมือง เขาเริ่มต้นจากการลงสมัคร สส. แต่ล้มเหลวถึง 3 ครั้ง ต่อมาเขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาจังหวัดนครพนม 1 สมัย และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จในการเป็น สส. ในปี พ.ศ. 2544
ศุภชัย โพธิ์สุ มีบทบาทสำคัญในพรรคการเมืองหลายพรรค เช่น พรรคความหวังใหม่ พรรคพลังประชาชน และพรรคภูมิใจไทย เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระหว่างปี พ.ศ. 2552 - 2554 และได้รับฉายาว่า "พี่แก้วไม่มีวันร้าว" ในช่วงเวลาดังกล่าว
ในปี พ.ศ. 2562 ศุภชัยได้รับเลือกเป็น สส. พรรคภูมิใจไทย เขต 1 จังหวัดนครพนม และได้รับตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง เขาเป็นที่รู้จักในฐานะ "สหายแสง" และเคยมีบทบาทในการควบคุมการประชุมสภาในช่วงที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
แม้จะประสบความสำเร็จทางการเมือง แต่ศุภชัยก็เผชิญกับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งเช่นกัน เช่น ในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2554 และการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2566 อย่างไรก็ตาม เขายังคงมีบทบาททางการเมืองโดยได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน
ศุภชัย โพธิ์สุ เป็นนักการเมืองที่มีสีสัน เขาเคยตกถูกวิจารณ์จากการปราศรัยโจมตีฝ่ายตรงข้ามอย่างรุนแรง
โดยศุภชัยได้ต่อว่า พัฒนา สัพโส และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพื้นที่จังหวัดสกลนครและจังหวัดอุดรธานีบนเวทีปราศรัยว่า "ไอ้โง่" รวมถึงกล่าวว่าหากจังหวัดสกลนครและจังหวัดอุดรธานีต้องการงบประมาณมากกว่านี้ให้คนในพื้นที่เลือกพรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้าจึงจะจัดสรรงบประมาณให้
รวมไปถึงตัวเขาถูกวิจารณ์ว่าควบคุมการประชุมสภาไม่เข้มงวดและยุติความขัดแย้งในประชุมไม่ได้จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
ชีวิตและผลงานทางการเมืองของ ศุภชัย โพธิ์สุ จากอดีตเด็กยากจน สู่บทบาทนักการเมืองที่มีทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว เขาเป็นบุคคลที่น่าสนใจและมีเรื่องราวชีวิตที่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
ด้าน มนพร เจริญศรี หรือที่รู้จักกันในนาม “รัฐมนตรีเดือน” เป็นนักการเมืองหญิงคนแรกของจังหวัดนครพนมที่ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรี เส้นทางการเมืองของเธอยาวนานกว่า 30 ปี เริ่มต้นจากการเป็นผู้แทนตลาดล่าง สู่ สส. หญิงคนแรก และล่าสุดคือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
เส้นทางการเมืองของ มนพร เริ่มต้นจากการเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม เขตอำเภอเมือง เป็นเวลา 2 สมัย ตั้งแต่ปี 2537 ดำรงตำแหน่งรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม 2 สมัย เป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม 1 สมัยคือในปี 2547
ในปี 2549 เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงในนามคนเสื้อแดงจังหวัดนครพนม ได้รับเลือกตั้งเป็น สส. จังหวัดนครพนม เขตเลือกตั้งที่ 2 สังกัดพรรคเพื่อไทย ในปี 2554 รับผิดชอบงานในกรรมาธิการการมีส่วนร่วมพัฒนาการเมือง เพื่อทวงสิทธิให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงที่เสียชีวิตจากการชุมนุม
เธอได้รับเลือกตั้งเป็น สส. จังหวัดนครพนม อีกครั้งในปี 2562 และ 2566 ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน
ผลงานและความนิยมโดย มนพร เป็นที่รู้จักในฐานะ “ผู้แทนที่เป็นขวัญใจประชาชน" เห็นได้จากชนะการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นถึง 3 สมัย เป็นนักการเมืองที่ อ่อนน้อม ถ่อมตน เรียบง่าย เข้าถึงประชาชน และมีความซื่อสัตย์ ไม่เคยเปลี่ยนขั้วการเมือง และยึดมั่นกับพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด
ขณะที่มีการคาดการณ์กันว่าศึกเลือกตั้งนายก อบจ. ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 เป็นการวัดพลังของ มนพร หาก มนพร พา อนุชิต ชนะการเลือกตั้งนายก อบจ. สำเร็จ รวมกับผลงานครั้งเก่าที่เคบชิงเก้าอี้ สส. ล้มสหายแสงและภรรยาได้ พรรคเพื่อไทยอาจให้เธอขึ้นมาคุมพื้นที่อีสานตอนบน
การเลือกตั้งนายก อบจ. นครพนม ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 กำลังร้อนระอุขึ้นทุกขณะ นับเป็นการวัดพลังครั้งสำคัญระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย โดยมีอนาคตทางการเมืองของทายาทตระกูลดังเป็นเดิมพัน
การเลือกตั้งครั้งนี้ดุเดือดตั้งแต่เริ่มเปิดรับสมัคร โดยผู้สมัครนายก อบจ. หลายรายต้องการหมายเลขเดียวกันกับผู้สมัคร ส.อบจ. จนเกือบเกิดปัญหา พรรคเพื่อไทยได้ส่งทัพใหญ่ลงพื้นที่ช่วยนายอนุชิต หงษาดี ผู้สมัครนายก อบจ.นครพนม เริ่มต้นด้วย นางสาวจิราพร สินธุไพร รองหัวหน้าพรรค ตามด้วย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และปิดท้ายด้วย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ตัวเต็งในการเลือกตั้งครั้งนี้มีอยู่ 2 ราย
นางสาวศุภพานี โพธิ์สุ หรือ "นายกขวัญ" แชมป์เก่า ลงสมัครในนาม "ทีมนครพนมร่วมใจ" โดยมี นางเทพเทวา นิติพจน์ ภรรยาของอดีตคู่แข่ง และนายประดิษฐ์ แสงสีทา คนสนิทของ สส. พรรคภูมิใจไทย มาร่วมทีม เธอเป็นลูกสาวของนายศุภชัย โพธิ์สุ หรือ "ครูแก้ว" อดีต สส. เขต 1 นครพนม พรรคภูมิใจไทย นายกขวัญ มีประสบการณ์การทำงานการเมือง เคยเป็นเลขานุการของนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง และที่ปรึกษาของนายทรงศักดิ์ ทองศรี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เธอชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2563 ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น และประกาศจะ ทำงานด้วยสโลแกน “ทำงานไม่มีวันหยุด” การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการป้องกันแชมป์ของเธอ
นายอนุชิต หงษาดี หรือ "เบียร์" ตัวแทน พรรคเพื่อไทย อดีตนายก อบต.โพนสวรรค์ เขาเป็นคนใกล้ชิดของ มนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม และ สส.นครพนม เขต 2 พรรคเพื่อไทย เขาได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มกำลังจากพรรคเพื่อไทย รวมถึง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรค และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ลงพื้นที่ช่วยหาเสียง นายอนุชิต ได้หมายเลข 8 ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็นเลขมังกร นำโชคชัยมาให้ ทีมหาเสียงของเขาใช้ชื่อว่า “ทีมฮักนครพนม” โดยมี นายดนัย สิทธิวัชระชัย อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลบ้านแพง และนายชาญชัย คำจำปา อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลพระซอง อ.นาแก ร่วมทีม นายอนุชิต ชูนโยบาย "สิเฮ็ดดี เพื่อนครพนม" โดยมุ่งเน้นพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณสุข เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิต
การเลือกตั้งครั้งนี้เต็มไปด้วยกลยุทธ์และการช่วงชิงความได้เปรียบ มีการตั้งข้อสังเกตว่า นายกขวัญ อาจลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระเพื่อสกัดนายอนุชิต เนื่องจากหากนายกขวัญลาออกก่อน นายอนุชิตซึ่งขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งนายก อบต. จะขาดคุณสมบัติในการลงสมัครนายก อบจ. อย่างไรก็ตาม นายกขวัญ ยืนยันว่าจะทำงานจนครบวาระ และมั่นใจในผลงานตลอด 4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะการลงพื้นที่พบปะประชาชนอย่างต่อเนื่อง เธอ มองว่าคู่แข่งทุกคน "น่ากลัวทั้งนั้น"
การปราศรัยหาเสียงเป็นไปอย่างดุเดือด พรรคเพื่อไทยชูนโยบายการสานต่อโครงการของรัฐบาล โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.นาหว้า อ.ศรีสงคราม และ อ.บ้านแพง ซึ่งเป็นฐานเสียงของนายกขวัญ นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีนายก อบจ. ที่มาจากพรรคเพื่อไทย เพื่อสานต่อนโยบายของรัฐบาล
ผลการเลือกตั้งนายก อบจ.นครพนม จะเป็นตัวชี้วัดความนิยมของพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยในพื้นที่ และยังเป็นการวัดบารมีของตระกูลโพธิ์สุ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2568 จะเป็นวันชี้ชะตาว่า ใครจะได้ครองเก้าอี้ผู้นำท้องถิ่นนครพนม
การเมืองนครพนมได้เปลี่ยนผ่านจากยุคของการต่อสู้ทางอุดมการณ์มาสู่การเมืองสมัยใหม่ที่มีการแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองและตระกูลการเมือง โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้:
อนาคตของการเมืองนครพนมจะขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งนายก อบจ. ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสำคัญของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในจังหวัดนี้ และอาจส่งผลต่อทิศทางการเมืองระดับชาติในอนาคต
อ้างอิง
Thai / กรุงเทพธุรกิจ1 / กรุงเทพธุรกิจ2 / การเมือง / TheActive / TheStatesTime /การเมือง / ในประเทศ / กรุงเทพธุรกิจ3 / คมชัดลึก / นครพนม / อบจ.นครพนม /