จักรภพ หนุนไทย ชูนโยบายช่วยเหลือผู้อพยพ ปม ขัดแย้ง "เมียนมา"

SPRiNG มีโอกาสสัมภาษณ์ จักรภพ เพ็ญแข อดีต อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาล ดร.ทักษิณ ชินวัตร พูดถึงประเด็นความขัดแย้งในเมียนมาและมองถึงอนาคตข้างหน้าหลังจากเมืองเมียวดีถูกกองกำลังต่อต้านรัฐบาลทหารยึดครองจะเป็นอย่างไร โดย จักรภพ มองว่าต้องแยกเป็น 2ระดับ คือ 1.ระดับระหว่างประเทศ 2.ระดับการเมืองในประเทศเมียนมา

ระดับที่ 1.คือระดับระหว่างประเทศ ประการที่แรกจะมีประเทศต่างๆ ทั้งประเทศใกล้เคียงและมหาอำนาจจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องความขัดแย้งในเมียนมา เริ่มจะแทรกแซงเพื่อผลประโยชน์ระดับชาติของตนเองประเทศที่คาดว่าจะเข้ามาเกี่ยวข้องคือ จีน อินเดีย บังกลาเทศ รวมถึงประเทศไทย ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติในแง่ของการป้องกันไม่ให้ภัยสงครามลุกลามไปสู่ประเทศตนเอง อีกด้านคือแสวงหาผลประโยชน์ความร่วมมือในอนาคต ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขึ้นสู่อำนาจหรือลงจากอำนาจนั่นเอง

ประการที่ต่อมาคิดว่าน่าจะมีเสนอร่างญัตติในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อจะเริ่มจัดการหรือกำหนดทิศทางของเมียนมาไปสู่อนาคตที่ศูนย์กลางของรัฐอยู่ที่เนปิดอว์หากระบอบทหารล่มลง หากเป็นเช่นนั้นจะไปตั้งขั้วอำนาจใหม่ที่ตรงไหนจะเป็นชนกลุ่มน้อยเลยหรือไม่หรือจะมีคณะทหารที่ 2 ขึ้นมาแทนตรงนี้ยังไม่แน่นอน

ประการสุดท้ายจะมีดำเนินการต่อเนื่องของระบบอาวุธระหว่างประเทศโดยมุ่งหน้าไปที่เมียนมาซึ่งตรงนี้จะกระทบความมั่นคงต่อประเทศไทย เพราะเมียนมาใกล้ไทยมากๆ และบางครั้งเข้ามาใช้ดินแดนประเทศไทยโดยที่เราไม่ได้ยินยอมด้วยซ้ำ

ส่วนระดับที่ 2 ระดับการเมืองในประเทศเมียนมา จะเกิดอะไรขึ้นบ้างตนคิดว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในระบอบทหารของเมียนมาเอง เพราะในระบอบทหารของเมียนมามีการช่วงชิงอำนาจกันอยู่เป็นประจำ และพล.อ.อาวุโส มินอ่องลาย ไม่ใช่ผู้กุมอำนาจสูงสุดมีแม่ทัพนายกองลดหลั่นลงมาตามลำดับ ซึ่งคนเหล่านี้มองว่าหากตนขึ้นไปมีอำนาจจะได้เสวยสุขเหมือนครอบครัวมินอ่องลาย อาจจะถือโอกาสนี้ทำการรัฐประหารต่อรองเพื่อให้ผู้เล่นอื่นๆ ในกองทัพมีอำนาจหรือมีโอกาสเข้าร่วมกับอำนาจบริหารในรัฐบาลมินอ่องลาย

เรื่องต่อมาเราจะเห็นว่าในเมียนมาเองเราได้ข่าวเรื่องการแปรพักตร์ของประชาชนประชาชนเริ่มไม่ได้มองว่ารัฐบาลทหารเป็นศูนย์กลางอีกต่อไป แต่มองว่าศูนย์กลางกำลังเสื่อมสลายแต่เขายังไม่กล้าเคลื่อนไหวมากจนกระทั่งเมื่อถึงจุดหนึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงข้ามเส้นไป เช่นมีสัญลักษณ์ของความพ่ายแพ้ของรัฐบาลทหารของเมียนมา จนคนพูดว่าอยู่ไม่ได้แล้วถึงตอนนั้นเราจะมองเห็นประชาชนเมียนมา เปลี่ยนความเชื่อมั่น ความนับถือ ความสนใจต่อรัฐบาลทหารเมียนมา ไปสนใจช่วยเหลือส่งเงิน ส่งความช่วยเหลือไปที่ชนกลุ่มน้อยแทน

ข้อสุดท้ายตนคิดว่าผลจากการที่มีสงครามเกิดขึ้นในพื้นที่ชนกลุ่มน้อยมีผลทำให้เกิดการหลั่งไหลของอาวุธเข้ามาในเขตทหารของเมียนมาด้วย ซึ่งอาวุธเหล่านี้ อาจจะเข้ามาเป็นปัจจัยเรื่องเปลี่ยนแปลงอำนาจจนถึงก่อการรัฐประหารในเมียนมาได้

การทูตแบบไทยคือรู้ทุกเรื่องแต่ไม่ทำอะไร ???

เมื่อพูดถึงเรื่องการทูตที่ไทยกำลังนิ่งเฉย ในมุมมอง จักรภพ มองว่า ใกล้เกลือกินด่าง ตนไม่ขอวิจารณ์ แต่ขอพูดลอยๆ ว่าไม่อยากเห็นรัฐบาลเราอยู่ในสภาพใกล้เกลือกินด่าง ถ้าหากเราอ่านประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปสัก 30-40 ปี จะพบว่าก่อนจะมีปัญหาด้านเมียนมาเรามีปัญหาเรื่องกัมพูชาและลาวมาก่อน เราเรียกเหตุการณ์นั้นว่าสงครามอินโดจีนที่ต่อเนื่องจากสงครามเย็น

สงครามในเวียดนามมีทั้งสงครามกู้ชาติ สงครามเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง เป็นผลสืบเนื่องที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีผลกระทบมาถึงไทย มีเรื่องผู้อพยพจำนวนเป็นแสนเข้ามา เกิดการปะปนทางอัตลักษณ์เต็มไปหมดไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ที่ชายแดนเกิดความไม่ชัดเจน ไม่รู้เส้นไหนเป็นของไทยเส้นไหนเป็นพื้นที่สงคราม

ความรู้สึกของไทย ณ ขณะนั้นคืออยากจะผลักปัญหาไปให้พ้นจากตัวเรามากที่สุดเราไม่เคยคิดใช้ประโยชน์หรือหาประโยชน์จากเหตุการณ์นี้เลย ความรู้สึกของเราในตอนนั้นคืออยากผลักดันให้พ้นจากตัวไปที่สุดเพราะเราก็คิดว่าเราจนอยู่แล้วอย่ามาเบียดเบียนเราเลย เราเสียเงิน เสียคน เสียความรู้สึกไปกับปัญหา เวียดนาม กัมพูชา ลาว ไม่รู้กี่สิบปีแต่ประเทศไทยแทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย

มีแต่ทหารไทยบางคนในยุคนั้นที่ร่ำรวยจากปัญหาสงครามแต่ประชาชนมีแต่เสียประโยชน์กลายเป็นเหยื่อสงคราม ตนไม่อยากเห็นประเทศไทยทำผิดซ้ำในเรื่องปัญหาในเมียนมา เพราะฉะนั้นอยากเสนอว่าอย่างต่ำสุดเราควรมีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการรับผู้อพยพ ว่าผู้อพยพที่ต่างกันไม่ว่าจะมีการศึกษามากการศึกษาน้อยเป็นมืออาชีพ ที่มีความรู้มีทักษะ เช่นเป็นครู วิศวะกร หมอ ที่หลั่งไหลหนีภัยสงครามมา หรือว่าหนีเพราะไม่ยอมรับรัฐบาลทหารมา ตนคิดว่าเราควรพิจารณารับมาอย่างเป็นทางการเพื่อจะให้เขามาพัฒนาประเทศไทยหากเขาต้องการ

สองมาตรฐานเรื่องผู้ต่อต้านรัฐบาลทหาร VS รัฐบาลทหารเมียนมา ???

จักรภพ มองว่า ทุกประเทศในเวลาที่เกิดความระส่ำระสายเราต้องไม่กลัวเรื่องการเข้าหาคนนู้นทีคนนี้ที มันเป็นประโยชน์ของเราเพราะฉะนั้นเวลานี้ไม่ใช่เวลาเลือกข้าง แต่ตนเสนอว่าเราควรจะเริ่มเกมได้แล้วว่าเราจะเอียงไปข้างไหน

ส่วนเรื่องเครื่องบินที่บินมาลงจอดที่ประเทศไทย เป็นเรื่องของ international engagements ไม่ว่าเราจะร่วมมือหรือไม่ร่วมมือบางครั้งเราก็จำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือยอมรับกิจกรรมบางอย่างที่สืบเนื่องกันมา ยังมีกฎหมายระหว่างประเทศระบุว่าเราไม่สามารถรั้งเครื่องบินให้อยู่ในประเทศได้เลยจนกว่าจะชี้ได้ว่าเครื่องบินลำนั้นเป็นภัยต่อความมั่นคง ตนเชื่อว่าเจ้าหน้าที่คงทราบดีว่าเครื่องบินลำนี้มาทำอะไร เพราะไม่ได้มาขนคนแต่มาขนของและเป็นเครื่องบินพลเรือน

เรื่องนี้เป็นผลดีต่อคนไทยที่ทำให้คนไทยตื่นตัวกับประเด็นปัญหาความขัดแย้งในเมียนมามากขึ้น

สุดท้ายตนขอยกคำพูดของ สมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ท่านสอนพวกเราตลอดว่า

ความกลัวทำให้เสื่อม เราอย่าไปกลัวสถานการณ์เกินไปจนหนีเหมือนหนีผี ต้องมายืนห่างๆ แล้วมองวิเคราะห์ดูสิว่าเราจะไม่ใกล้เกลือกินด่างได้อย่างไร