SHORT CUT
ก่อนสิ้นเดือนแรกของปี 2567 ดูเหมือนอุณหภูมิการเมืองปีงูใหญ่ ส่อเค้าจะเริ่มเดือดมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีสำคัญ 2 คดี ที่เกี่ยวข้องกับ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์และพรรคก้าวไกล คือ คดีถือหุ้น ITV และคดีเสนอให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
คดีแรกศาลนัดอ่านคำวินิจฉัยวันที่ 24 มกราคม ถัดจากนั้นอีก 7 วัน 31 มกราคม ศาลก็นัดอ่านคดีที่สอง ทั้งสองคดีถูกสังคม และคนในแวดวงการเมืองจับจ้องอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวข้องและส่งผลกระทบต่ออนาคตทางการเมืองของทั้งพิธาและพรรคก้าวไกล
แต่ไม่ว่า ผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจะออกมาทางไหน จะเป็นบวก หรือ เป็นลบ คอการเมืองล้วนระบุตรงกันว่า จะส่งผลต่อฉากทัศน์การเมืองไทยทั้งสิ้น
เพราะหากเป็นบวก ก็เท่ากับติดเทอร์โบให้กับพรรคก้าวไกลแบบอัตโนมัติ เพราะจะส่งผลให้พรรคก้าวไกลที่กำลังทำหน้าที่ฝ่ายค้านไล่ขย่มรัฐบาลและกองทัพอยู่ในเวลานี้ เคลื่อนไหวและเคลื่อนยุทธศาสตร์ทางการเมืองได้รุนแรง และหนักหน่วงมากขึ้น แน่นอนว่า ในภาวะที่พรรคเพื่อไทย ยังอยู่ในระหว่างการตั้งหลัก การจัดระบบการบริหาร หลังห่างเหินการเป็นรัฐบาลมานานกว่า 9 ปี การปล่อยผีพรรคก้าวไกล ย่อมเป็นสถานการณ์ที่ยากต่อการรับมือ
หอกที่พุ่งเข้าใส่รัฐบาลจะรุนแรง และแม่นยำขึ้น พอๆกับผลข้างเคียงที่กำลังกระแทกไปยังกองทัพและหน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งหมด
ชัยธวัช ตุลาธน ที่เพิ่งให้สัมภาษณ์ BBC ไทย เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2567 ก็มั่นใจว่าพรรคก้าวไกลสามารถชี้แจงได้ทั้ง 2 คดี และเชื่อว่าผลจะออกมาเป็นบวก
เขาเชื่อว่า การยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล รวมทั้งตัดอนาคตทางการเมืองพิธา ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลและผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะอาจส่งผลให้มาตรา 112 ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในวงกว้างอีกครั้ง
เช่นเดียวกับ จตุพร พรหมพันธุ์ ก็มั่นใจในการแสดงความเห็นผ่านสื่อหลายครั้งว่า ส่วนตัวเขาเชื่อว่าพิธาและพรรคก้าวไกลจะไปต่อ
มีเพียงความเห็นด้านฟากฝั่งของสมาชิกวุฒิสภา ที่นำโดย สมชาย แสวงการที่เชื่อมั่นว่า พิธาจะไม่รอดคดีถือหุ้น ITV และพรรคก้าวไกลก็น่าจะถูกยุบในคดีเสนอให้แก้ไขมาตรา 112
อย่างไรก็ตามเมื่อวิเคราะห์จากข้อมูลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และการอภิปรายงบประมาณครั้งล่าสุดของพรรคก้าวไกล การวางตัวขุนพลของพรรคที่ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ และไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค
การเตรียมจัดทัพลงสู่การเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงต้นปี 2568 ดูเหมือนพรรคก้าวไกลไม่ได้ยี่หระต่อการถูกยุบพรรค และตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบัน หรือการตัดสิทธิ์พิธา แต่อย่างใด
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้นำจิตวิญญาณของพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล ซึ่งปัจจุบันเป็นแกนนำกลุ่มก้าวหน้า ยังคงวาดแผนการเดินทางไกลของพรรคและของกลุ่มอย่างต่อเนื่อง
การสร้างและเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงความสามารถ การให้พื้นที่สำคัญอย่างเด็กสร้างอย่างไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ, รังสิมันต์ โรม หรือ แบงค์ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ โดยเฉพาะ เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ทั้งหมดเป็นดาวรุ่งของพรรคที่โชว์ความสามารถในการอภิปราย และการเกาะติดปัญหาบ้านเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยังไม่รวม สส. ก้าวไกลอีกจำนวนมากที่ดาหน้าออกมาโชว์ผลงานในช่วงนี้
ฉากทัศน์การเมืองไทยหลังคดีพิธาและคดี 112 จึงเห็นเด่นชัด 2 แนวทาง คือ
ประการแรก หากออกมาในทางลบ หากก้าวไกลถูกยุบพรรค ผลที่เห็นชัด คือ การแตกรังของ สส. พรรคก้าวไกลบางคน คนที่ยังไม่ใช่เนื้อแท้ และคนที่พร้อมจะรับข้อเสนอจากพรรคการเมืองบางพรรค
นักวิเคราะห์ทางการเมืองคนหนึ่งบอกว่า “คนเหล่านี้ถูกทาบทามและพูดคุยจากแกนนำพรรคใหญ่ 2-3 พรรค เพื่อเสนอข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้ เชื่อว่า ประมาณ 20-30 % พร้อมที่จะหวั่นไหวต่อข้อเสนอนี้ และพร้อมที่จะเดินไปสังกัดพรรคเหล่านั้น”
“แต่นั่นจะทำให้พรรคก้าวไกลสะดุด แต่ไม่มาก เพราะจะเป็นการสกรีนคนที่ไม่ใช่ออกไปจากพรรคอีกครั้ง การตอบแทนมวลชนบางกลุ่มด้วยการให้ลงสมัคร และบางคนได้เป็น สส. ถือว่า ให้โอกาสและตอบแทนแล้ว หากมีความเปลี่ยนแปลงที่คนเหล่านั้น พรรคก้าวไกลก็จะได้มีคำตอบให้กับมวลชนกลุ่มใหญ่ทุกกลุ่มได้”
“การเลือกตั้งครั้งหน้า เชื่อว่า ก้าวไกลจะมีผู้สมัครที่มีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมเข้าคิวรอสมัครจนคัดไม่ไหว”
ประการแรกนี้ฉากทัศน์ที่กระทบชัด คือ โมเมนตัมทางการเมืองจะเปลี่ยนไป เพราะ สส. พรรคก้าวไกลที่ไปสังกัดพรรคขนาดกลาง จะทำให้พรรคเหล่านั้นมีจำนวน สส. มากขึ้น และสามารถต่อรองพรรคเพื่อไทยให้ปรับ ครม. เพื่อต่อรองตำแหน่ง และสัดส่วนในคณะรัฐมนตรีใหม่
พรรคเพื่อไทยและ ครม. เศรษฐาต่างหาก ที่จะได้รับผลกระทบจากประเด็นนี้ เพราะพรรคก้าวไกลจะแค่ทรานส์ฟอร์ม สส. ส่วนใหญ่ไปสังกัดใหม่ที่เตรียมตั้งเอาไว้แล้ว และทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่อ การสูญเสีย สส. 20-30% อาจกระทบการโหวต ในกฏหมายสำคัญ แต่ต่อให้อยู่ครบ จำนวน สส. ก้าวไกลก็ไม่ชนะโหวตในสภาอยู่ดี การยุบพรรคก้าวไกลจึงไม่กระทบต่อทิศทางการเดินทางไกลของก้าวไกลและธนาธรอย่างที่หลายฝ่ายคิด
ส่วนผลประการที่สอง หากเป็นบวก ผลกระทบต่อรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยจะยิ่งหนักขึ้น เพราะนั่นหมายถึงพรรคก้าวไกลจะเดินหน้ายุทธศาสตร์ตรวจสอบรัฐบาล และฟาดชิ่งไปยังกองทัพ ตามเป้าหมายที่ต้องการได้เร็วขึ้น
การตรวจสอบรัฐบาล ไม่สำคัญเท่ากับการตรวจสอบกองทัพ เพราะการตรวจสอบกองทัพเสมือนดั่งการทลายนั่งร้านสำคัญ ที่เคยค้ำสถาบันหลักของประเทศ
ฉากทัศน์การเมืองไทยนับจากนี้ ไม่ว่าผลคดีจะบวล หรือลบ รัฐบาลและกองทัพต่างหากที่กำลังเผชิญหน้ากับการตรวจสอบ และการเปิดเกมรุกครั้งสำคัญจากพรรคก้าวไกลและเครือข่ายพันธมิตรที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สรุปปมถือหุ้นไอทีวี คดีที่อาจดับอนาคต ‘พิธา’
อนาคตการเมือง 2567: เด็ดก้าวไกลสะเทือนถึงรัฐบาล
"ก้าวไกล" ยกหลักฐาน 6 ข้อ เชื่อ "พิธา" รอด คดีถือหุ้นสื่อไอทีวี