นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) นำทีมพนักงาน BTS อธิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท้าวมหาพรหม ช่วยคลี่คลายปัญหาหนี้สินที่ภาครัฐติดค้างกว่า 1.1หมื่นล้าน จากคดี รถไฟฟ้าสายสีเขียว
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา ยูทูปชาแนล BTSSkyTrainChannel ของบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้โพสต์คลิปวีดีโอ ความยาว 02.48 นาที มีเนื้อหาเป็นภาพ นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) นำพนักงาน กล่าวขอพรต่อท้าวมหาพรหม ในกรณีที่เกี่ยวกับหนี้สินที่ บริษัท ยังไม่ได้รับการชำระคืน จากภาครัฐ จำนวน 1.1หมื่นล้านบาท
โดยในคลิป นายคีรี กล่าวบางช่วงบางตอนว่า "ผม ไม่เคยนึกเลยว่า บริษัทเรา จะโดนเรื่องการเมือง รังแกเราได้ขนาดนี้"
นอกจากนี้ ยังมีบางช่วงของคลิป ที่นายคีรี กล่าวนำพนักงานในบริษัท เพื่อขอพรจากรูปปั้นท้าวมหาพรหม ด้วย โดยกล่าวว่า
"แม้พวกข้าพเจ้า จะพยายามทำดีอย่างที่สุด ไม่ให้ประชาชนต้องได้รับความเดือดร้อน แต่กลับไม่ได้รับการเหลียวแลจากภาครัฐ พวกข้าพเจ้า ได้พยายามพึ่งพาผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงภาครัฐ แต่ยังกลับไม่ได้รับการดูแลแก้ไข จึงมาอธิษฐาน ขอความเมตตา จากท่านท้าวมหาพรหม โปรดดลบันดาลให้ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะภาระหนี้สิน ที่ภาครัฐติดค้างอยู่ ได้รับการแก้ไขเยียวยา หรือชำระโดยเร็ว สถานการณ์ของบริษัทในวันนี้ ที่โดนกลั่นแกลัง เราได้ทำดีที่สุดแล้ว ขอท่านท้าวมหาพรหม โปรดกรุณาเมตตา"
อย่างไรก็ตามเกี่ยวกับเรื่องภาระหนี้สินดังกล่าวนั้น บีทีเอส ได้ดำเนินการติดตามทวงถามมาในหลากหลายช่องทาง และใช้เวลามากว่า 3 ปี กระทั่งได้ร้องผ่านศาลปกครอง จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 2565 ที่ผ่านมา ศาลปกครองได้อ่านคำพิพากษาในคดีที่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ยืนฟ้อง กรุงเทพมหานคร ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 กับบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 กรณีผิดสัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร (โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว) ในส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2
โดยศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า กทม.จะต้องร่วมจ่ายหนี้ค้างชำระค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการฯ ที่บริษัทกรุงเทพธนาคม จำกัด ค้างชำระ ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 1 โดยเป็นหนี้เงินต้น 2,199 ล้านบาท ดอกเบี้ย 149 ล้านบาท รวม 2,348 ล้านบาท และส่วนต่อขยายที่ 2 โดยเป็นหนี้เงินต้น 8,786 ล้านบาท ดอกเบี้ย 619 ล้านบาท รวม 9,406 ล้านบาท โดยให้ชำระภายใน 180 วันนับตั้งแต่คดีถึงที่สุด