การเปิดตัวครั้งใหญ่ของแอปเปิล ในงาน WWDC23 ที่ความสามารถของอุปกรณ์เทคโนโลยียังคงอัดแน่นแบบเต็มที่ รวมทั้งปล่อยราคาขาย Macbook Air และ แว่นตาอัจฉริยะ Vision Pro ที่จะเปลี่ยนโลกการใช้งานนวัตกรรมที่เหนือชั้น
Macbook Air ที่เปิดตัวใหม่นี้ มาพร้อมกับจอภาพ Liquid Retina ขนาดใหญ่ 15.3 นิ้ว, ประสิทธิภาพของชิป M2, แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานสูงสุด 18 ชั่วโมง และระบบเสียง 6 ลำโพง ทั้งหมดนี้มารวมอยู่ด้วยกันในดีไซน์แบบไร้พัดลมที่บางและเบา
ความสดใหม่ของ Apple Vision Pro มาพร้อมกับการทำงานด้วยระบบปฏิบัติการ VisionOS และขับเคลื่อนด้วยชิป Apple M2 ร่วมกับชิป R1 ที่เข้ามาช่วยประมวลภาพ AR แบบ Realtime ไม่ว่าจะเป็นการสั่งงานผ่านมือและนิ้วจะมีกล้องคอยตรวจจับท่าทางการสั่งงานโดยที่ไม่ต้องมีอุปกรณ์ที่ต้องถือเพื่อสั่งงาน
นอกจากนี้ ยังสามารถสั่งงานผ่านปุ่มกด และ Digital Crown ที่อยู่บน Vision Pro ได้อีกด้วย
ทั้งยังสามารถใช้งานฟีเจอร์ต่างๆ ได้เหมือนกับ iPhone และ Mac ไม่ว่าจะเป็น FaceTime, ถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ, ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นจาก App Store ของ Vision Pro ดูภาพยนตร์ หรือรายการทีวีผ่าน AppleTV+ บนหน้าจอเสมือนขนาดใหญ่ พร้อมทั้งรองรับการเชื่อมต่อ Magic Keyboard และ Magic Trackpad เพื่อทำงานผ่าน Vision Pro ได้อีกด้วย
อ่านข่าวอื่นๆ เพิ่มเติม
สำหรับ แล็ปท็อปรุ่น 15 นิ้วที่บางที่สุดในโลก มีระบบเสียง 6 ลำโพงแบบใหม่หมด ทำให้มอบประสบการณ์ Spatial Audio ได้ในแบบสมจริง และยังมีกล้อง FaceTime HD ความละเอียด 1080p, MagSafe สำหรับการชาร์จ รวมถึงขุมพลังและความง่ายในการใช้งานของ macOS Ventura เพื่อประสบการณ์ที่ดีกว่าเดิม
โดย MacBook Air รุ่น 13 นิ้ว พร้อมชิป M2 จะมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 39,900 บาท เพื่อให้มีความคุ้มค่าและเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้นสำหรับทุกคน ตั้งแต่ผู้ที่อยากอัปเกรดจนถึงลูกค้าที่ซื้อ Mac เครื่องแรก
ความเร็วแบบสูงสุด 12 เท่า
MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว มีประสิทธิภาพเหนือชั้นเมื่อมีชิป M2 ซึ่งเร็วขึ้นสูงสุด 12 เท่า เมื่อเทียบกับ MacBook Air ที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel ที่เร็วที่สุด และเมื่อเทียบกับแล็ปท็อป PC รุ่น 15 นิ้ว ที่ใช้โปรเซสเซอร์ Core i7 ที่มียอดจำหน่ายสูงสุด MacBook Air ใหม่ เร็วกว่าสูงสุด 2 เท่า
ส่วนแบตเตอรี่นั้น ก็ใช้งานได้ยาวนานน่าทึ่งสูงสุด 18 ชั่วโมง หรือมากกว่าบน PC ถึง 50% ถึงแม้จะมีจอภาพและประสิทธิภาพที่ดีกว่า MacBook Air รุ่น 15 นิ้ว มี CPU แบบ 8-core อันทรงพลังที่ประกอบด้วยคอร์ด้านประสิทธิภาพ 4 คอร์ และคอร์ด้านประหยัดพลังงาน 4 คอร์ พร้อมด้วย GPU แบบ 10-core เพื่อกราฟิกที่เร็วสุดขีด
นอกจากนี้ ยังมี Neural Engine แบบ 16-core ยิ่งกว่านั้นชิป M2 ยังมีแบนด์วิดท์หน่วยความจำ 100GB/s และรองรับหน่วยความจำแบบรวมที่รวดเร็วขนาดสูงสุด 24GB
กล้อง FaceTime HD ความละเอียด 1080p และระบบเสียง 6 ลำโพง
สำหรับวิดีโอคอลและการประชุมทางวิดีโอ เมื่อรวมเข้ากับพลังการประมวลผลของโปรเซสเซอร์รับสัญญาณภาพที่ล้ำสมัยของชิป M2 แล้ว รับรองเลยว่าผู้ใช้จะดูดีขณะวิดีโอคอลแน่นอน ยังมีชุดไมโครโฟน 3 ตัว จับเสียงที่ชัดใส โดยใช้อัลกอริทึมบีมฟอร์มมิ่งอันล้ำสมัย เพื่อให้ผู้ใช้เสียงดังฟังชัดขณะวิดีโอคอล
และยังมี Spatial Audio ที่รองรับ Dolby Atmos ซึ่งจะมอบประสบการณ์ที่เต็มอิ่มสมจริงไม่ว่าจะฟังเพลงหรือดูภาพยนตร์
ยกระดับการทำงานให้ทรงพลังด้วย macOS
macOS Ventura ยกระดับประสบการณ์การใช้งาน Mac เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ทำอะไรๆ ได้มากยิ่งขึ้น เริ่มจากแอปข้อความและเมลที่ดียิ่งกว่าที่เคย ในขณะที่ Safari ซึ่งเป็นเบราว์เซอร์ที่เร็วที่สุดในโลกบน Mac นั้น ก้าวล้ำเข้าสู่อนาคตแบบไร้รหัสผ่านด้วยพาสคีย์
ต่อมาก็คือความต่อเนื่องของกล้องที่นำคุณสมบัติด้านการประชุมทางวิดีโอมาอยู่บน Mac ทุกเครื่อง ทั้ง Desk View, Center Stage และ Studio Light
เครื่องมืออย่าง Stage Manager ที่จะจัดระเบียบแอปและหน้าต่างโดยอัตโนมัติ เพื่อให้ผู้ใช้จดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่ได้เต็มที่โดยที่ยังคงมองเห็นทุกอย่างได้เพียงแค่เหลือบมอง
นอกจากนี้ ยังมีคลังรูปภาพ iCloud ที่แชร์ ซึ่งให้ผู้ใช้สร้างและแชร์คลังรูปภาพแยกอีกคลังในกลุ่มสมาชิกครอบครัวได้สูงสุด 6 คน และมีแอป Freeform เป็นผืนผ้าใบที่ยืดหยุ่นที่ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานและถ่ายทอดความคิดได้ดียิ่งขึ้น
แถมผู้ใช้ยังสามารถทำงานสลับไปมาระหว่าง Mac และ iPhone ได้ง่ายนิดเดียวด้วยคุณสมบัติความต่อเนื่อง อย่างเช่น Handoff, AirDrop, คลิปบอร์ดกลาง และข้อความ
ดีต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น
MacBook Air ใหม่ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และใช้ทองชุบและดีบุกบัดกรีรีไซเคิล 100% ในแผงวงจรพิมพ์หลายชิ้น รวมถึงแร่โลหะหายากรีไซเคิล 100% ในแม่เหล็กทุกชิ้น และ MacBook Air ยังใช้โคบอลต์รีไซเคิล 100% ในช่องต่อ MagSafe รวมถึงเหล็กกล้ารีไซเคิล 90% ในถาดใส่แบตเตอรี่
MacBook Air ยังเป็นไปตามมาตรฐานระดับสูงของ Apple ในด้านการประหยัดพลังงาน อีกทั้งยังปลอดสารปรอท, PVC และเบริลเลียมอีกด้วย ส่วนบรรจุภัณฑ์นั้นใช้เยื่อไม้เป็นหลักมากกว่า 99% จึงทำให้ Apple เข้าใกล้เป้าหมายในการเลิกใช้พลาสติกในบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดภายในปี 2025 มากยิ่งขึ้น
ราคาและความพร้อมในการวางจำหน่าย
นอกจากนี้ ยังสามารถดูข้อมูลทางเทคนิคและรายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์เสริม Apple รวมถึงอะแดปเตอร์แปลงไฟ USB-C ขนาด 70 วัตต์ใหม่ ซึ่งมีจำหน่ายในราคา 1,890 บาท ที่ apple.com/th/shop/buy-mac