SHORT CUT
วันแรงงาน ย้อนดูแรงงานยุคกลางได้หยุด 180 วันต่อปี มากกว่าพนักงานออฟฟิศยุคปัจจุบันเสียอีก เรื่องนี้จริงแท้แค่ไหน ?
ในแวดวงนักประวัติศาสตร์ มีการถกเถียงเรื่อง “คนยุคกลางมีวันหยุดมากกว่าคนออฟฟิศสมัยนี้” หรือไม่ ? โดยมีฐานจากงานวิจัยและการศึกษาทางประวัติศาสตร์ของ นักประวัติศาสตร์และนักสังคมวิทยาอย่าง จูเลียต ชอร์ (Juliet Schor) ได้ศึกษาชั่วโมงการทำงานในอดีต พบข้อมูลชวนทึ่ง “ในยุโรปยุคกลางแรงงานโดยเฉลี่ยอาจทำงานเพียงประมาณ 150 วันต่อปี เท่านั้น!”
หมายความว่าแรงงานยุคกลางมีวันหยุดถึงราวครึ่งหนึ่งของปีเลยทีเดียว! โดยที่มาของวันหยุดจำนวนมากในยุคกลางส่วนหนึ่งมาจากระบบ “วันนักขัตฤกษ์ทางศาสนา” หรือ Holy Days ที่คริสตจักรกำหนดให้ผู้คนหยุดงานเพื่อร่วมพิธีและเทศกาลทางศาสนาอยู่บ่อยครั้ง
นอกจากวันอาทิตย์ที่เป็นวันหยุดประจำสัปดาห์แล้ว ยังมีวันฉลองนักบุญและเทศกาลคริสต์ศาสนามากมายที่ชาวบ้าน “ไม่ต้องทำงาน” โดยกฎหมายศาสนากำหนดไว้ ด้วยเหตุนี้บางข้อมูลระบุว่าชาวนายุคกลางในบางช่วงอาจมีวันหยุดรวมกันได้ถึง 150–180 วันต่อปี เลยทีเดียว
เมื่อหันมามองคนทำงานยุคปัจจุบัน ระบบวันหยุดดูจะแตกต่างอย่างมากกับยุคกลาง คนทำงานออฟฟิศทั่วไปมักมีวันทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์ และหยุดสุดสัปดาห์ 2 วัน รวมวันหยุดประจำสัปดาห์ประมาณ 104 วันต่อปี บวกกับวันหยุดนักขัตฤกษ์ราชการหรือวันหยุดประเพณีอีกประมาณสิบกว่าวัน และวันลาพักร้อนที่นายจ้างให้ (ซึ่งโดยเฉลี่ยอาจราว 10-15 วันต่อปี) รวมๆ แล้วจำนวนวันหยุดของมนุษย์เงินเดือนยุคนี้มักจะไม่เกิน 120 วันต่อปี ในกรณีที่ได้หยุดเสาร์-อาทิตย์ครบและใช้วันลาพักร้อนเต็มที่ ซึ่งยังน้อยกว่าที่กล่าวอ้างกันว่ายุคกลางที่เต็มไปด้วยการขดขี่ แต่มีวันหยุดถึงเกือบครึ่งปี
อย่างไรก็ดี การเปรียบเทียบเช่นนี้อาจเทียบกันตรงๆ ไม่ได้ทั้งหมด เพราะ คำนิยามของ “วันหยุด” และลักษณะการใช้เวลาว่าง ในสองยุคแตกต่างกัน แม้ว่างานวิจัยบางชิ้นจะชี้ว่าคนยุคกลางทำงานน้อยวันกว่าเรามาก แต่คำถามสำคัญคือ
วันหยุดของคนยุคกลางหมายถึงการพักผ่อนจริงๆ หรือไม่? นักประวัติศาสตร์หลายคนเตือนว่าอย่าเพิ่งจินตนาการถึงชาวนาในยุคกลางนอนเอกเขนกครึ่งปีอย่างสบายใจ เพราะความเป็นจริงซับซ้อนกว่านั้น
แม้จะมีข้อมูลว่าชาวนาในยุคกลางยุโรปอาจมีวันหยุดมากถึง 150–180 วันต่อปี แต่อย่าเพิ่งจินตนาการถึงชีวิตชิลล์ๆ นอนเล่นอยู่บ้านทั้งวัน เพราะวันหยุดในสมัยนั้นส่วนใหญ่เป็น “วันนักขัตฤกษ์ทางศาสนา ที่ห้ามทำงานหนักก็จริง แต่ยังต้องเข้าร่วมพิธีกรรม เช่น ฟังมิสซาที่โบสถ์ และบางคนก็ใช้เวลาที่เหลือไปกับงานฉลองประจำหมู่บ้าน เต้นรำ ดื่มกิน หรือดูมหรสพ มากกว่าจะพักผ่อนเงียบๆ ส่วนตัวแบบพนักงานออฟฟิศลาพักร้อนในปัจจุบัน
นอกจากนี้ แม้ไม่ต้องทำงานไร่นาในวันหยุด ชาวนาก็ยังต้องดูแลปศุสัตว์ ทำงานบ้าน ปั่นด้าย เก็บฟืน ฯลฯ ซึ่งกินแรงไม่น้อย แถม “150 วันต่อปี” ที่อ้างถึงนั้นมักหมายถึงจำนวนวันที่ทำงานให้เจ้าที่ดิน ไม่รวมเวลาที่ต้องทำไร่ตนเองเพื่อเลี้ยงชีพ
ความเชื่อที่ว่า “คนยุคกลางทำงานน้อยกว่าคนยุคปัจจุบัน” อาจเป็นการเหมารวมเกินจริง เพราะหากพวกเขามีชีวิตสบายจริง คงไม่เกิดการลุกฮือแรงงานหรือจลาจลในประวัติศาสตร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างที่มีบันทึกไว้
แต่ไม่ว่าเรื่องนี้ความจริงจะเป็นอย่างไร ก็ทำให้เห็นว่า “การพัก” มีบทบาทในชีวิตแรงงานมาตลอดประวัติศาสตร์ มาจนถึงยุคปัจจุบันที่วันแรงงานสากลถูกกำหนดขึ้นในวันที่ 1 พฤษภาคมขอทุกปี เพื่อย้ำเตือนสิทธิของผู้ใช้แรงงานในการพักผ่อนและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การได้หยุดพักอย่างเพียงพอยังคงเป็นหัวใจสำคัญของชีวิตการทำงานที่ยั่งยืนและมีความสุข ไม่ว่าเราจะอยู่ในยุคสมัยใดก็ตาม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง