SHORT CUT
แนวคิดเรื่องผัวเดียวเมียเดียวไม่ใช่แนวคิดที่เกิดขึ้นเองในประเทศไทย แต่เป็นแนวคิดที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก และการผลักดันของชนชั้นกลาง
ในอดีต สังคมไทยมีรูปแบบความสัมพันธ์ทางเพศในครอบครัวที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีภรรยาหลายคนของผู้ชาย ("ผัวเดียวหลายเมีย") เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในหลายบริบททางสังคม กฎหมาย และประเพณี อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาประมาณ 60 ปี ตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ 5 จนถึงรัชกาลที่ 7 ค่านิยมเรื่อง "ผัวเดียวเมียเดียว" ได้ค่อยๆ พัฒนาและหยั่งรากลึกในสังคมไทย จนกระทั่งกลายเป็นบรรทัดฐานทางกฎหมายและอุดมคติของครอบครัวแห่งชาติในที่สุด พัฒนาการของค่านิยมดังกล่าว มีปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ ทั้งจากอิทธิพลภายนอกและการเปลี่ยนแปลงภายในสังคมไทยเอง
ในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ สังคมไทยเริ่มมีการติดต่อกับชาวตะวันตกมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 มิชชันนารีชาวตะวันตก เช่น หมอบรัดเลย์ ได้พยายามเผยแพร่แนวคิด "ผัวเดียวเมียเดียว" ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และวิพากษ์วิจารณ์การมีภรรยาหลายคนของชนชั้นนำ อย่างไรก็ตาม ในระยะแรก ความพยายามเหล่านี้มักตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อทางศาสนาคริสต์มากกว่าแนวคิดเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงโต้ตอบมโนทัศน์ "ผัวเดียวเมียเดียว" โดยทรงชี้ว่าขนบธรรมเนียมของสยามแตกต่างจากตะวันตก และการมีภรรยาหลายคนก็สอดคล้องกับขนบประเพณีที่มีมาแต่เดิม พระองค์ยังทรงย้อนแย้งว่าควรไปห้ามปรามขุนนางมิให้เสนอบุตรสาวเป็นสนมมากกว่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าในเวลานั้น ค่านิยม "ผัวเดียวหลายเมีย" ยังคงได้รับการปกป้องโดยชนชั้นนำ
ในสมัยรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 การปฏิรูปการศึกษาตามแบบตะวันตกและการส่งคนไปศึกษาในต่างประเทศได้นำมาซึ่งแนวคิดสมัยใหม่ รวมถึงแนวคิดเรื่องความเสมอภาคและการวิพากษ์วิจารณ์ขนบเดิม บุคคลที่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตกเริ่มตั้งคำถามต่อระบบ "ผัวเดียวหลายเมีย"
การขยายตัวของสื่อสิ่งพิมพ์กลายเป็นเวทีสำคัญสำหรับการอภิปรายปัญหาเพศภาวะ โดยมีประเด็น "ผัวเดียวหลายเมีย" เป็นหัวใจสำคัญ สื่อสิ่งพิมพ์ได้นำเสนอความคิดที่สนับสนุน "ผัวเดียวเมียเดียว" และวิพากษ์วิจารณ์ผลกระทบด้านลบของการมีภรรยาหลายคน เช่น ปัญหาความไม่เท่าเทียมและการดูแลบุตรที่ไม่ทั่วถึง ตัวอย่างเช่น บทความและวรรณกรรมต่างๆ เริ่มสะท้อนค่านิยมใหม่ของชนชั้นกลางที่ได้รับอิทธิพลจากโลกภายนอก
อย่างไรก็ตาม มิใช่ว่าชนชั้นกลางทั้งหมดจะเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบ "ผัวเดียวเมียเดียว" โดยสิ้นเชิง ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานะของเมียน้อยและบุตรนอกสมรส แม้แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงแสดงความกังวลในประเด็นนี้เช่นกัน
ในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 2450 สยามเผชิญกับ แรงกดดันจากมหาอำนาจตะวันตกที่ต้องการให้สยามปรับปรุงระบบกฎหมายให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อแลกกับการยกเลิกสนธิสัญญาสิทธิสภาพนอกอาณาเขต กฎหมายครอบครัวเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปกฎหมายที่ต้องพิจารณา
สมเด็จฯ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฐ์ ทรงเป็นบุคคลสำคัญที่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงกฎหมายไปสู่ระบบ "ผัวเดียวเมียเดียว" โดยทรงมองว่าการคงอยู่ของระบบ "ผัวเดียวหลายเมีย" อาจถูกต่างชาติวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นภูมิธรรมที่ต่ำด้อย พระองค์ทรงเสนอแนวทางที่อาจจะอนุญาตให้มีภรรยาเดียว แต่ให้มีการจดทะเบียนรับรองบุตรที่เกิดนอกสมรสได้
อย่างไรก็ตาม ในชั้นของการพิจารณากฎหมาย ยังคงมีเสียงที่สนับสนุนระบบ "ผัวเดียวหลายเมีย" โดยอ้างถึงขนบธรรมเนียมประเพณีและเหตุผลทางศาสนา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงมีพระราชดำริที่ไม่เร่งรัดให้ยกเลิกระบบดังกล่าว โดยทรงเน้นถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับเมียน้อยและบุตรนอกสมรส
ในที่สุด พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะผัวเมีย พ.ศ. 2478 ได้ถูกประกาศใช้ โดยถือหลัก "ผัวเดียวเมียเดียว" เป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับนี้ก็ยังคงมีบทบัญญัติที่คำนึงถึงสถานะของภรรยาน้อยและบุตรนอกสมรสในบางกรณี ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการประนีประนอมกับขนบเดิม
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 รัฐบาลใหม่ได้ส่งเสริมค่านิยม "ผัวเดียวเมียเดียว" ในฐานะส่วนหนึ่งของการสร้างชาติสมัยใหม่ที่ยึดหลักความเสมอภาค นักคิดและปัญญาชนหลายท่านได้เชื่อมโยงการมีครอบครัวแบบ "ผัวเดียวเมียเดียว" กับความศิวิไลซ์และความก้าวหน้าของประเทศ
การรณรงค์ทางวัฒนธรรมในยุคต่อมาได้ยิ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของสถาบันครอบครัวที่ประกอบด้วยสามีและภรรยาเพียงคนเดียว การประกาศต่างๆ ของสภาวัฒนธรรมแห่งชาติเกี่ยวกับพิธีสมรสก็สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับคู่สมรสเพียงคู่เดียว
เสริม วินิจฉัยกุล อาจารย์กฎหมาย ได้อธิบายว่ากฎหมายครอบครัวใหม่ของไทยสอดคล้องกับหลักความเสมอภาคในรัฐธรรมนูญ โดยให้สิทธิแก่ผู้หญิงมากขึ้น และยกย่องหลัก "ผัวเดียวเมียเดียว" ว่าเป็นความก้าวหน้าทางวัฒนธรรม
พัฒนาการของค่านิยมเรื่อง "ผัวเดียวเมียเดียว" ในสังคมไทยเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและค่อยเป็นค่อยไป โดยได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทั้งภายนอกและภายในประเทศ จากเดิมที่การมีภรรยาหลายคนเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ สังคมไทยได้ค่อยๆ เปลี่ยนผ่านสู่การยอมรับและบังคับใช้หลัก "ผัวเดียวเมียเดียว" ในทางกฎหมายและยกย่องให้เป็นอุดมคติของครอบครัว การเผชิญหน้ากับมโนทัศน์จากตะวันตก การเปลี่ยนแปลงทางความคิดของชนชั้นนำและการเกิดขึ้นของสื่อสิ่งพิมพ์ แรงกดดันจากภายนอกในการปฏิรูปกฎหมาย และความพยายามในการสร้างชาติสมัยใหม่ที่เน้นความเสมอภาค ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมให้ค่านิยม "ผัวเดียวเมียเดียว" หยั่งรากลึกและกลายเป็นบรรทัดฐานที่สำคัญในสังคมไทยในปัจจุบัน
อ้างอิง