svasdssvasds

ท่วมชินชา จนต้องแต่งเพลง ทางออกของปัญหาคือกระจายอำนาจ ?

ท่วมชินชา จนต้องแต่งเพลง ทางออกของปัญหาคือกระจายอำนาจ ?

ท่วมชินชา จนต้องแต่งเพลง ทางออกของปัญหาคือกระจายอำนาจ ? ผลกระทบของน้ำท่วมไทยในประวัติศาสตร์ไทยจากอดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังแก้ไม่ได้

SHORT CUT

  • ประเทศไทยเรามีปัญหาน้ำท่วมมาอย่างยาวนาน คนสมัยก่อนมองว่าน้ำท่วมเป็นเรื่องดี เปรียบเหมือน "แม่น้ำไนล์" ที่นำความอุดมสมบูรณ์มาสู่ผืนดิน แต่ปัจจุบัน น้ำท่วมสร้างความเสียหายมากมาย โดยเฉพาะในเขตเมือง นักวิชาการด้านท้องถิ่น ให้ความเห็นว่า ระบบรัฐรวมศูนย์เป็นอุปสรรคสำคัญในการแก้ปัญหาน้ำท่วม

  • ผลกระทบของรัฐรวมศูนย์เห็นได้ชัดจากกรณีน้ำท่วมกรุงเทพฯ-ปทุมธานี ที่สะท้อนความขัดแย้งระหว่างส่วนกลางและท้องถิ่น

  •  

    การกระจายอำนาจจะช่วยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการวางแผนและป้องกันน้ำท่วม เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำ และส่งเสริมความรับผิดชอบต่อทรัพยากรน้ำ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะทบทวนระบบรัฐรวมศูนย์ และมองหาทางออกใหม่ๆ เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน ?
     



     

ท่วมชินชา จนต้องแต่งเพลง ทางออกของปัญหาคือกระจายอำนาจ ? ผลกระทบของน้ำท่วมไทยในประวัติศาสตร์ไทยจากอดีตจนถึงปัจจุบันก็ยังแก้ไม่ได้

ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่อดีต จากสายตาชาวต่างชาติ ชาวสยามมองน้ำท่วมในแง่ดี เปรียบเสมือน "แม่น้ำไนล์" ที่นำพาความอุดมสมบูรณ์มาสู่ผืนแผ่นดิน อย่างไรก็ตาม สถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบัน โดยเฉพาะในเขตเมืองสร้างความเสียหายอย่างมาก จนมีการตั้งคำถามผลกระทบของระบบรัฐรวมศูนย์ต่อการจัดการปัญหาน้ำท่วม และทางออกที่เป็นความหวังของการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้อย่างไร

ท่วมชินชา จนต้องแต่งเพลง ทางออกของปัญหาคือกระจายอำนาจ ?

 

สยามเชื่อน้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง

ในสมัยกรุงศรีอยุธยา นิโกลาส์ แชร์แวส์ ชาวฝรั่งเศส บันทึกไว้ว่าชาวสยามมองน้ำท่วมในแง่ดี เปรียบเสมือน "แม่น้ำไนล์" ที่นำพาความอุดมสมบูรณ์มาสู่ผืนแผ่นดิน น้ำท่วมจะทำให้ดินดี เหมาะแก่การเพาะปลูก

ท่วมชินชา จนต้องแต่งเพลง ทางออกของปัญหาคือกระจายอำนาจ ?  

ชาวสยามจึงไม่ได้หวั่นเกรงน้ำท่วมเท่ากับความแห้งแล้ง เพราะความแห้งแล้งจะส่งผลกระทบต่อราคาข้าว ทำให้ข้าวมีราคาแพง นอกจากนี้น้ำท่วมยังนำ "ปลา" มาอย่างชุกชุม ชาวบ้านสามารถจับปลาได้อย่างง่ายดาย เป็นแหล่งอาหารราคาถูก ช่วงเวลาที่น้ำท่วมจึงเป็นช่วงเวลาแห่งความสนุกสนาน มีการละเล่นและแข่งเรือ สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของคนไทยที่อยู่ร่วมกับน้ำท่วมมาอย่างยาวนาน

 

น้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ พ.ศ. 2485  จุดเปลี่ยนสู่บทเพลงอมตะ

ในปี พ.ศ. 2485 เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ใช้นามปากกา "สามัคคีชัย" บันทึกเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ไว้ในบทประพันธ์เรื่อง "ข่าวชวนหัวตามน้ำท่วม" เผยแพร่ใน "ข่าวโคสนาการ" 

ท่วมชินชา จนต้องแต่งเพลง ทางออกของปัญหาคือกระจายอำนาจ ?

บทประพันธ์นี้ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในช่วงเวลานั้น เช่น การคมนาคมที่ลำบาก การใช้เรือเป็นพาหนะหลัก ข่าวลือเรื่อง "จระเข้" ขึ้นมาบนถนน และอุบัติเหตุ "เรือชนรถ" บนถนน เนื่องจากถนนกลายเป็นเส้นทางสัญจรทางน้ำ เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนเป็นวงกว้าง จอมพล ป. จึงกล่าวว่า "น้ำท่วมดีกว่าฝนแล้ง" เพื่อให้กำลังใจประชาชน

ต่อมา “ครูไพบูลย์ บุตรขัน” นักประพันธ์เพลงลูกทุ่ง ได้นำคำกล่าวของ จอมพล ป. มาเป็นแรงบันดาลใจในการแต่ง "เพลงน้ำท่วม" โดยมี “ศรคีรี ศรีประจวบ” เป็นผู้ขับร้อง เนื้อเพลงท่อนแรก "น้ำท่วม น้องว่าดีกว่าฝนแล้ง" สะท้อนถึงคำกล่าวของจอมพล ป. 

นอกจากนี้ ครูไพบูลย์ยังได้นำประสบการณ์จริงของ ศรคีรี ที่ประสบภัยน้ำท่วมไร่สับปะรดที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มาใส่ไว้ในเนื้อเพลงด้วย

เพลงน้ำท่วม โด่งดังและกลายเป็นเพลงที่คนไทยคุ้นเคยเป็นอย่างดี สะท้อนให้เห็นว่าเหตุการณ์น้ำท่วมได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม และเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานเพลงที่ทรงคุณค่า

ท่วมชินชา จนต้องแต่งเพลง ทางออกของปัญหาคือกระจายอำนาจ ?

สะท้อนให้เห็นจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เหตุการณ์น้ำท่วมในประเทศไทยได้ถูกบันทึกไว้ในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบันทึกของชาวต่างชาติ บทประพันธ์ และบทเพลง สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมอง วิถีชีวิต และความพยายามของคนไทยในการปรับตัวและอยู่ร่วมกับภัยธรรมชาตินี้มาอย่างยาวนาน และยังเป็นเครื่องเตือนใจให้คนรุ่นหลังตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมรับมือและป้องกันภัยพิบัติทางธรรมชาติ เพื่อลดความเสียหายและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

รัฐรวมศูนย์ส่งผลต่อการแก้ปัญหาน้ำท่วมไม่ได้

คำถามต่อมาคือเพราะเหตุใดประเทศไทยถึงแก้ปัญหาน้ำท่วมไม่ได้สักที

ระบบรัฐรวมศูนย์อาจส่งผลต่อการจัดการปัญหาน้ำท่วมในประเทศไทยในหลายด้าน จากบทสัมภาษณ์ของ ผศ.ดร.ณัฐกร วิทิตานนท์ จากคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ ม.เชียงใหม่นักวิชาการที่ศึกษาการปกครองส่วนท้องถิ่น อธิบายถึงปัญหาของระบบราชการรวมศูนย์ ว่าเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างมีประสิทธิภาพ

หน่วยงานรับผิดชอบมากเกินไป แม้กรมชลประทานจะเป็นหน่วยงานหลักในการจัดการน้ำท่วม แต่ปัญหาเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน เช่น การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และการช่วยเหลือเยียวยา ส่งผลให้การทำงาน ไม่ประสานงานกันและติดขัด

ขาดความเชื่อมโยงกับท้องถิ่น เห็นได้จากกรมชลประทานไม่มีส่วนราชการในระดับจังหวัด ทำให้การตัดสินใจแก้ปัญหาล่าช้า เพราะต้องผ่านขั้นตอนของส่วนกลาง

ท่วมชินชา จนต้องแต่งเพลง ทางออกของปัญหาคือกระจายอำนาจ ?

ขาดความต่อเนื่องในการทำงาน เพราะการโยกย้ายข้าราชการบ่อยครั้งทำให้ขาดความเข้าใจปัญหาในพื้นที่ และ ยากที่จะแก้ปัญหาระยะยาว

ตัวอย่างผลกระทบของรัฐรวมศูนย์ที่เห็นได้ชัด กรณีน้ำท่วมกรุงเทพฯ-ปทุมธานี เมื่อปี พ.ศ. 2565 เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึง ความขัดแย้งระหว่างส่วนกลางและท้องถิ่น เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำที่ต้องคุยข้ามกันไปมาระหว่างรัฐส่วนกลางและท้องถิ่น

อ.ณัฐกร ตั้งข้อสังเกตว่าแผนแม่บทนี้ อาจไม่ตอบโจทย์ เพราะ มองปัญหาจากส่วนกลางเป็นหลัก และ ขาดการมีส่วนร่วมจากท้องถิ่น

ท่วมชินชา จนต้องแต่งเพลง ทางออกของปัญหาคือกระจายอำนาจ ?

ข้อเสนอแนะของ อ.ณัฐกร เสนอว่า การกระจายอำนาจ เป็นแนวทางสำคัญในการแก้ปัญหาน้ำท่วม เช่นเพิ่มอำนาจให้ท้องถิ่นในการรับมือน้ำท่วม ให้ท้องถิ่นดูแลประตูน้ำ อนุญาตให้ท้องถิ่นขุดลอกแหล่งน้ำได้เอง

จะเห็นได้ว่าระบบรัฐรวมศูนย์เป็นอุปสรรคต่อการจัดการปัญหาน้ำท่วมในประเทศไทย การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเป็นแนวทางสำคัญในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

กระจายอำนาจ คำตอบแก้น้ำท่วม ?
แนวคิดเรื่องการกระจายอำนาจในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ สามารถประยุกต์ใช้กับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้เช่นกัน

หลักการสำคัญของการกระจายอำนาจ คือการถ่ายโอนอำนาจการตัดสินใจและการบริหารจัดการจากหน่วยงานส่วนกลาง ไปสู่ชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในบริบทของการจัดการน้ำท่วม 

การกระจายอำนาจจะช่วยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการวางแผนและดำเนินมาตรการป้องกันน้ำท่วม เนื่องจากชุมชนเป็นผู้ที่เข้าใจสภาพพื้นที่และปัญหาของตนเองดีที่สุด พวกเขาสามารถร่วมกันออกแบบและดำเนินโครงการที่เหมาะสมกับบริบทของท้องถิ่น

เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำ การตัดสินใจในระดับท้องถิ่นสามารถทำได้รวดเร็วและยืดหยุ่นกว่าการรอคำสั่งจากส่วนกลาง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นน้ำท่วม

ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อทรัพยากรน้ำ เมื่อชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการน้ำ พวกเขาจะมีความรู้สึกเป็นเจ้าของและหวงแหนทรัพยากรมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การใช้น้ำอย่างประหยัดและยั่งยืน

ตัวอย่างการกระจายอำนาจในการจัดการน้ำท่วม

การจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำในระดับชุมชน เพื่อร่วมกันวางแผนการใช้น้ำ ดูแลรักษาระบบชลประทาน และจัดทำโครงการบรรเทาภัยพิบัติ

การให้อำนาจแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดเก็บภาษีและจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบระบายน้ำ และระบบเตือนภัยน้ำท่วม

การสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานท้องถิ่นในลุ่มน้ำเดียวกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสานงาน และร่วมกันแก้ไขปัญหา

อย่างไรก็ตามการกระจายอำนาจในการจัดการน้ำท่วมจำเป็นต้องมีการวางแผนและดำเนินการอย่างรอบคอบ เช่น การพัฒนาศักยภาพของชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการบริหารจัดการน้ำ

การกำหนดกฎระเบียบและกลไกที่ชัดเจน เพื่อป้องกันการใช้อำนาจในทางมิชอบ การสร้างระบบติดตามและประเมินผล เพื่อให้มั่นใจว่าการกระจายอำนาจบรรลุเป้าหมาย

จะเห็นได้ว่า ระบบรัฐรวมศูนย์เป็นอุปสรรคสำคัญในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างมีประสิทธิภาพ หน่วยงานที่รับผิดชอบมีมากเกินไป ขาดความเชื่อมโยงกับท้องถิ่น และขาดความต่อเนื่องในการทำงาน ข้อเสนอแนะสำคัญคือ การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เพื่อให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการตัดสินใจและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ รวมถึงการรับมือกับภัยพิบัติ ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน โดยชุมชนมีส่วนร่วม เพิ่มประสิทธิภาพ และส่งเสริมความรับผิดชอบต่อทรัพยากรน้ำ

อ้างอิง

หอสมุดแห่งชาติ / SilpaMag 1 / SilpaMag 2 / SilpaMag 3 / ประชาไท / BBC / TDRI / Thaipublica / 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง