ไทยเดินหน้าเจรจาค้าเสรี EU หลังสภาผ่านความตกลง PCA

วงเสวนาโต๊ะกลม “ก้าวสู่ความสัมพันธ์ ไทย-EU ยุคใหม่ ไทยจะได้อะไรภายใต้ PCA” ที่จัดขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับเนชั่น กรุ๊ป 

PCA คือกรอบความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือรอบด้านระหว่างสหภาพยุโรปและรัฐสมาชิกกับราชอาณาจักรไทย จะมีผลในวันที่ 20 ตุลาคม 2567 โดยครอบคลุมสาขาความร่วมมือ ได้แก่ ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วิทยาศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และสาธารณสุข รวมไปถึงหลักการการเคารพหลักการสากลต่างๆ ด้านประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน นิติรัฐและนิติธรรม เศรษฐกิจที่เปิดเสรี การพัฒนาที่ยั่งยืน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

นางครองขนิษฐ รักษ์เจริญ อธิบดีกรมยุโรป กล่าวว่า การที่รัฐสภามีมติเห็นชอบความร่วมมือนี้จะเป็นเงื่อนไขให้สหภาพยุโรป (EU) เปิดการเจรจาเขตการค้าสรี (FTA) กับประเทศไทย ยังรวมไปถึงการส่งเสริมทางดิจิทัลและการลงทุน และที่สำคัญคือความปลอดภัยทางไซเบอร์ นอกจากนี้ยังมีการแลกเปลี่ยนความรู้ วิจัยและนวัตกรรม และจะสนับสนุนให้ไทยเป็นประเทศที่มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนและนำไปสู่ประเทศ Net Zero ตามโรดแมพ

นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า PCA ที่จะนำมาซึ่งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการค้า การผลิต และเศรษฐกิจที่ยั่งยืน โดยจะเป็นพื้นฐานของการเจรจาสร้างความร่วมมือ FTA กับ EU ในอนาคต เพราะตลาดนี้เป็นตลาดการส่งออกสำคัญของไทย 

รศ.ดร.ณัฐนันท์ คุณมาศ ผู้อำนวยการศูนย์ยุโรปศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า PCA จะทำให้ไทยมีความเลือกทางนโยบายมากขึ้น และยังเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการต่อสู้ระหว่างสองมหาอำนาจคือ สหรัฐอเมริกาและจีนด้วย ไทยสามารถต่อยอดนโยบายเป็นรัฐการค้า เป็นเพื่อนกับทุกคนและไม่เป็นศัตรูกับใคร นอกจากนี้ไทยยังได้รับการยกระดับเพราะการมีสายสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป

ดร.ภก.นิลสุวรรณ ลีลารัศมี รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า PCA เป็นเหมือนช่องทางที่จะทำให้อุตสาหกรรมไทยสามารถเคลื่อนไปยังยุโรปได้กว้างขึ้น หลังจากที่ไทยมีความร่วมมือกับองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ซึ่งจะเป็นโอกาสที่ไทยจะรับมือความท้าทายของโลก ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด หรือโลกเดือด เป็นต้น นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการสร้างความร่วมมือกับสหภาพยุโรป จะทำให้ไทยพัฒนาจากประเทศที่รับผลิตสินค้า เป็นประเทศที่ผลิตสินค้าเพื่อทำแบรนด์ขายได้เอง เปลี่ยนจากการใช้แรงงานเป็นการใช้เทคโนโลยี เปลี่ยนจากแรงงานไร้ฝีมือเป็นแรงงานคุณภาพสูง และจะเปลี่ยนผ่านจากการผลิตเพื่อกำไรเป็นการผลิตควบคู่ไปกับการดูแลสิ่งแวดล้อมให้ได้รับการยอมรับจากตลาดโลกในอนาคต