SHORT CUT
“การปรับลดวันทำงาน” เป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงกันมาหลายปี โดยมีการทำวิจัยศึกษาอย่างจริงจัง ซึ่งหลายประเทศมีการทดลองใช้การ "ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์"
ปัจจุบันหลายคน หลายองค์กร เริ่มตระหนักถึง Work-life Balance หรือการใช้ชีวิตที่ไม่ได้โฟกัสเรื่องงานเพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความสำคัญกับสุขภาพและชีวิตส่วนตัวมากขึ้นด้วย จึงไม่แปลกที่คนยุคใหม่จะมองว่า การทำงานมีวันหยุดเพียง 2 วัน/สัปดาห์ไม่ตอบโจทย์และไม่เพียงพอสำหรับการพักผ่อนหรือลองทำกิจกรรมใหม่ๆ
วิถีการทำงานในยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ตั้งแต่หลังการระบาดของโควิดเป็นต้นมา ทำให้เกิดเทรนด์ทำงานใหม่ๆ ขึ้นมามากมาย และผู้คนก็หันมาใส่ใจสุขภาพและเลือกทำงานแบบยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะเทรนด์ “ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์” กำลังได้รับความนิยมไปทั่วโลก รวมถึงในประเทศญี่ปุ่นด้วย
ล่าสุดสำนักข่าว CNBC รายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพยายามแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานในประเทศที่น่าเป็นห่วง ด้วยการชักชวนให้ผู้คนและบริษัทต่างๆ หันมาใช้การทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์มากขึ้น หวังดึงดูดใจวัยทำงานคนรุ่นใหม่ที่ต้องการทำงานแบบยืดหยุ่นให้เข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น
ในความเป็นจริงแล้วรัฐบาลญี่ปุ่นแสดงการสนับสนุนให้มีสัปดาห์การทำงานที่สั้นลงมาตั้งแต่ปี 2021 แต่น่าเสียดายที่แนวคิดดังกล่าวยังไม่แพร่หลายเท่าใดนัก จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการญี่ปุ่น ชี้ว่า มีบริษัทต่างๆ ในญี่ปุ่นประมาณ 8% ที่อนุญาตให้พนักงานหยุดงานได้ 3 วันต่อสัปดาห์หรือมากกว่านั้น ในขณะที่ 7% ของบริษัททั่วไปยังคงให้พนักงานหยุดงานได้ 1 วันตามที่กฎหมายกำหนด
การที่รัฐบาลได้ริเริ่มแคมเปญ “ปฏิรูปรูปแบบการทำงาน” นั้น มีเป้าหมายเพื่อที่จะดึงดูดแรงงานให้เข้ามาทำงานในระบบมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง โดยส่งเสริมให้ลดชั่วโมงการทำงาน และออกแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น การจำกัดการทำงานแบบล่วงเวลา การมอบวันลาพักร้อนที่ได้รับค่าจ้าง เป็นต้น
กระทรวงแรงงานได้เริ่มให้บริการปรึกษาฟรีเกี่ยวกับวิธีทำงานแบบยืดหยุ่น มอบทุนสนับสนุน และจัดทำห้องสมุดถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับข้อดีของการทำงานแบบยืดหยุ่นให้มากขึ้นเพื่อเป็นแรงจูงใจเพิ่มเติม โดยในเว็บไซต์ของกระทรวงฯ ได้ระบุถึงแคมเปญ “hatarakikata kaikaku” ซึ่งแปลว่า “สร้างสรรค์วิธีการทำงานใหม่” เพื่อหวังจะสร้างสังคมที่วัยทำงานสามารถเลือกรูปแบบการทำงานได้หลากหลายตามสถานการณ์ของตนเอง
หน่วยงานที่กำกับดูแลด้านการบริการสนับสนุนสำหรับธุรกิจใหม่ เปิดเผยว่า มีเพียงสามบริษัทเท่านั้นที่เข้ามาขอคำแนะนำในการทำการเปลี่ยนแปลงวิธีทำงาน กฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง และเงินอุดหนุนที่มีอยู่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความท้าทายที่แผนริเริ่มนี้ต้องเผชิญ
การที่รัฐบาลญี่ปุ่นสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ในการปรับปรุงสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงาน ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการทำงานที่ชัดเจนครั้งใหญ่ ซึ่งในอดีตญี่ปุ่นเคยถูกมองว่าเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมความอดทนอดกลั้นอันเลื่องชื่อ และมักได้รับการยกย่องว่า แรงงานที่ทำงานหนักเหล่านี้คือผู้ที่ทำให้ประเทศฟื้นตัวหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจให้ประเทศได้อย่างโดดเด่น
จากความเชื่อและค่านิยมในการทำงานหนักข้างต้น ทำให้วัยทำงานชาวญี่ปุ่นได้รับแรงกดดันจากสังคมอย่างหนัก จนพวกเขาต้องยอมจำนน และก้มหน้าทำงานหนักต่อไป ยอมให้เสียสละตนเองเพื่อบริษัทอย่างมาก หากต้องการลาพักร้อน ก็สามารถลาได้เฉพาะช่วงวันหยุดเทศกาลสำคัญหรือช่วงปีใหม่เท่านั้น
พวกเขาแทบไม่ใช้วันลาหยุด และการทำงานล่วงเวลาก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา แม้ว่านายจ้าง 85% จะรายงานว่าให้พนักงานหยุดงานได้สัปดาห์ละ 2 วัน แต่ก็มีข้อจำกัดทางกฎหมายเกี่ยวกับชั่วโมงการทำงานล่วงเวลา ซึ่งระบุรายละเอียดไว้ในสัญญา ไม่เพียงเท่านั้น ชาวญี่ปุ่นบางคนก็ทำงานล่วงเวลาโดยไม่ได้รายงานไปยังสหภาพแรงงานและไม่ได้รับค่าตอบแทนอีกด้วย
จากข้อมูลหนังสือปกขาวของรัฐบาลญี่ปุ่น บางช่วงบางตอนอธิบายเกี่ยวกับ “คาโรชิ” ซึ่งเป็นคำในภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า “การเสียชีวิตจากการทำงานหนักเกินไป” เผยว่า ญี่ปุ่นมีผู้เสียชีวิตจากสาเหตุนี้อย่างน้อย 54 รายต่อปี รวมถึงจากอาการหัวใจวายด้วย
การทำงานหนักของคนญี่ปุ่น(บางกลุ่ม) ไม่ได้สื่อถึงการทำงานออกมาได้อย่างมีประสิทธิผลเสมอไป ยืนยันจากการสำรวจประจำปีของ Gallup ซึ่งทำการเทียบวัดการมีส่วนร่วมของพนักงาน ได้จัดอันดับประเทศญี่ปุ่นให้เป็นประเทศที่มีพนักงานที่มีส่วนร่วมน้อยที่สุดในบรรดาชาติที่ได้รับการสำรวจทั้งหมด
โดยในรายงานการสำรวจชุดล่าสุด มีผู้ตอบแบบสอบถามชาวญี่ปุ่นเพียง 6% เท่านั้นที่ระบุว่าตนเองมีส่วนร่วมในงาน เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 23% นั่นหมายความว่า มีวัยทำงานชาวญี่ปุ่นเพียงไม่กี่คนที่รู้สึกมีส่วนร่วมในสถานที่ทำงานของตนอย่างมาก และมีความกระตือรือร้นในการทำงาน ขณะที่ส่วนใหญ่ทุ่มเทเวลาให้กับงานโดยไม่ทุ่มเทความหลงใหลหรือพลังงานลงไปในงานแต่อย่างใด
คานาโกะ โอกิโนะ ประธานบริษัท NS Group ซึ่งตั้งอยู่ในโตเกียว มองว่า การเสนอเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นได้นั้น เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการจัดหางานในอุตสาหกรรมบริการ ซึ่งแรงงานส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง บริษัทซึ่งดำเนินกิจการร้านคาราโอเกะและโรงแรมแห่งนี้ มีรูปแบบการทำงานให้เลือกถึง 30 แบบ รวมถึงการทำงานสัปดาห์ละ 4 วัน แต่ยังมีวันหยุดยาวระหว่างงานอีกด้วย
เพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานของ NS Group จะไม่รู้สึกถูกลงโทษจากการเลือกตารางเวลาอื่น โอกิโนะ จึงสอบถามพนักงาน 4,000 คนของเธอปีละ 2 ครั้งว่าพวกเขาต้องการทำงานอย่างไร การยืนกรานถึงความต้องการของแต่ละคนอาจไม่เหมาะสมในญี่ปุ่น เนื่องจากคาดหวังให้คุณเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
อย่างไรก็ตามหลายคนและหลายองค์กรคงเคยนึกถึงการทำงาน 4 วัน/สัปดาห์กันอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าเมื่อวันทำงานลดน้อยลงแล้ว ประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานจะยังมีเท่าเดิมไหม หรือหากจำนวนชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ลดลงจะมีผลต่อรายได้หรือเปล่า
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ , CNBC
ข่าวที่เกี่ยวข้อง