SHORT CUT
สำรวจความแตกต่าง “เลดี้บอย” ไทย-ฟิลิปปินส์ สองชาติที่มีสาวประเภท 2 มากเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และทำไมพวกเธอถึงนิยมชาวต่างชาติ มากกว่าชายในประเทศ
รู้หรือไม่ “สาวประเภทสอง” เป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมคนข้ามเพศในเอเชียมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในประเทศไทยและฟิลิปปินส์ ที่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความงามของเลดี้บอยเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
โดยประเทศไทยนอกจากจะเป็น "ดินแดนแห่งรอยยิ้ม" แล้ว ในอีกแง่หนึ่งยังเป็น"ดินแดนแห่งเลดี้บอย" มากที่สุดในโลกอีกด้วย เพราะเป็นที่รู้กันมานานแล้วว่าไทยคือสรวงสวรรค์ของนักท่องเที่ยวที่ต้องการความหลากหลาย ส่วนที่ฟิลิปปินส์ก็เป็นที่ตั้งของชุมชนเลดี้บอยที่เจริญรุ่งเรือง และเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลกไม่แพ้กัน
แต่เคยสงสัยกันไหมว่า เหล่า “เลดี้บอย” ของสองประเทศนี้ โดดเด่นในเรื่องอะไรกันบ้าง วันนี้ ทีม Springnews จะมาไขข้อสงสัยให้ทราบกัน
ในประเทศไทย คนส่วนใหญ่มักเรียกคนข้ามเพศ ว่า “กะเทย” หรือ “สาวประเภทสอง” ซึ่งเป็นคำที่แพร่หลายจนคล้ายคำว่า Transgender Woman ในภาษาอังกฤษ แต่จุดกำเนิดของคำว่า “เลดี้บอย (LADYBOY)” คาดว่า น่าจะมาจากช่วงสงครามเวียดนาม ที่เวลานั้นไทยเป็นที่พักผ่อนของทหารอเมริกันจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อทหารอเมริกันไปเที่ยวตามชายหาด หรือสถานบันเทิงยามค่ำคืน พวกเขาจะมองหาผู้หญิงเสมอ ซึ่ง “กะเทย” ก็เป็นหนึ่งในนั้น ทำให้มีศัพท์ใหม่เกิดขึ้นมาว่า เลดี้บอย เพราะเรียกแล้วเข้าใจง่าย
ซึ่งคำที่มีจุดกำเนิดในประเทศไทย เพื่อใช้ให้ชาวตะวันตกเข้าใจนี้ กลายเป็นคำเรียกของสาวประเภทสองทั่วทั้งเอเชียในเวลาต่อมา ซึ่งบางคนก็ชอบ แต่บางคนก็รู้สึกเหมือนถูกเหยียด โดยเฉพาะคนข้ามเพศในโลกตะวันตกที่ถือเป็นการดูหมิ่นชัดเจน เพราะ เลดี้ กับ บอย เป็นคำที่ขัดแย้งกันเองอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม คำว่า เลดี้บอย ไม่ได้เป็นคำศัพท์ที่เป็นทางการ และสาวประเภทสองในเอเชียส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ถือสาอะไร จึงมีการใช้คำนี้เรียกกันอย่างแพร่หลาย
ประเทศไทยมีความเปิดกว้างในการยอมรับบุคคลข้ามเพศ เห็นได้จากปัจจุบันที่มีการเรียกร้องให้เกิดสมรสเท่าเทียม ให้คู่ชีวิตที่เป็นเพศเดียวกัน ซึ่งแม้จะยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่การผลักดันอย่างต่อเนื่องก็คือสัญญาณที่ดีสำหรับกลุ่ม LGBTQ
นอกจากนั้นหลักพุทธศาสนาในประเทศยังสอนถึง ความเมตตา การยอมรับ และชี้ให้เห็นว่าทุกคนเท่าเทียมกัน จึงทำให้เกิดการยอมรับกับผู้ที่มีความหลากหลาย แม้ในบางมุมศาสนาจะยังไม่เปิดกว้างเท่าใดนักก็ตาม
นั่นจึงทำให้ ประเทศไทยเป็นดินแดนที่มี “เลดี้บอย” มากกว่าเกือบทุกประเทศทั่วโลก โดยเราสามารถพบพวกเธอได้ตามสถานบันเทิงทั่วไป โดยเฉพาะในกรุงเทพ พัทยา ภูเก็ต นอกจากนี้พวกเธอยังมีหน้าที่การงานที่ดีในสังคม เช่นเป็นนักแสดง นักข่าว ผู้จัดการทั่วไป รวมถึงนางแบบด้วย
ส่วนใน ฟิลิปปินส์ ที่มีผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกอันดับ 4 ของโลกนั้น ทำให้สาวประเภทสองของประเทศนี้ที่แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ได้ยากกว่าประเทศไทยเล็กน้อย เพราะวัฒนธรรมของฟิลิปปินส์โดยเฉลี่ยมีความอนุรักษนิยม และผูกพันกับความเชื่อทางศาสนาของพวกเขา ทว่าในปัจจุบันมีการผ่อนคลายและเปิดกว้างให้ชาว LGBTQ มากขึ้น เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
ตอนนี้ สาวประเภทสองในฟิลิปปินส์ สามารถไปร่วมพิธีกรรมในโบสถ์ได้ นอกจากนี้พวกเธอยังเป็นนักแสดงซีรีส์ทางโทรทัศน์ ละครเวที และภาพยนตร์ด้วย และเช่นเดียวกับประเทศไทย ฟิลิปปินส์มีสถานบันเทิงมากมายที่จัดไว้สำหรับชุมชนคนข้ามเพศโดยเฉพาะ ใน “แองเจเลสซิตี้” และ “กรุงมะนิลา” นั่นจึงทำให้ทุกวันนี้ ฟิลิปปินส์ จึงกลายเป็นประเทศที่เป็นมิตรกับผู้ที่มีความหลากหลายมากที่สุดแห่งหนึ่งบนโลก
การทำความเข้าใจความแตกต่างทางภาษาและการสื่อสารระหว่างสาวประเภทสองชาวไทยและสาวประเภทสองชาวฟิลิปปินส์เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์กับพวกเธอ แม้ว่าทั้งสองประเทศจะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง แต่ก็ยังมีความแตกต่างบางประการในด้านการพูดและการแสดงออก
My ladyboy Cupid เว็บไซต์หาคู่ชื่อดัง ได้ชี้ข้อแตกต่างคร่าวๆ ของเลดี้บอยไทยและฟิลิปปินส์ เอาไว้คร่าวๆ ดังนี้
ข้อที่ 1 เลดี้บอยไทย จะใช้ภาษาที่เป็นทางการและสุภาพมาก ในขณะที่เลดี้บอยฟิลิปปินส์ จะมีความเป็นกันเองกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมตะวันตกมากกว่า
ข้อที่ 2 เลดี้บอยไทยจะใช้คำภาษาอังกฤษ ปนภาษาไทย ในการสื่อสารกับนักท่องเที่ยว แต่เลดี้บอยฟิลิปปินส์จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก และเก่งกาจในภาษาอังกฤษมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด จึงแทบไม่ติดขัดในเรื่องการสื่อสารกับชาวต่างชาติเลย
ข้อที่ 3 เลดี้บอยไทยชอบเอาใจผู้อาวุโสกว่า ซึ่งอาจเป็นผลมาจากค่านิยมภายในประเทศ ในทางกลับกันเลดี้บอย ฟิลิปปินส์ให้ความสำคัญกับความตรงไปตรงมาและความซื่อสัตย์ ซึ่งอาจดูหยาบคายสำหรับอีกฝ่ายที่อายุมากกว่า
ข้อที่ 4 เลดี้บอยไทยชอบโชว์รูปร่าง อวดหุ่นเพรียว ไว้ผมยาวสลวย และมักสวมเสื้อผ้ารัดรูปเพื่อเพิ่มเสน่ห์ นอกจากนี้ยัง แต่งหน้าด้วยลิปสติกสีจัดจ้าน เพื่อดึงดูดสายตาโดยเฉพาะ
ส่วนเลดี้บอยฟิลิปปินส์จะเน้นความเป็นธรรมชาติ และละเอียดอ่อนมากกว่า โดยพวกเธอมักใบหน้านุ่มนวล อ่อนหวาน และดูไร้เดียงสา ส่วนใหญ่จะสวมเสื้อผ้าที่เรียบง่าย ไม่ก็เน้นสุภาพไว้ก่อน
ส่วนเรื่องที่ว่า ระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ ประเทศไหนมี เลดี้บอย มากกว่ากันนั้น ? ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด แต่ในปี 2022 เว็บไซต์ MyLadyboyDate รายงานว่ามีผู้ใช้ที่เป็นสาวประเภทสองชาวฟิลิปปินส์มากถึง 70,000 คน ซึ่งถือว่าเป็นชาติที่สูงที่สุดในโลก รองลงมาคือประเทศไทย ที่มีผู้ใช้เป็นสาวประเภทสอง 18,000 คน
แม้ข้อมูลนี้อาจสรุปไม่ได้ว่าใครมีประชากรสาวประเภทสองมากกว่า แต่ก็บอกเป็นนัยว่า 2 ประเทศนี้อยู่ท็อปของโลกแน่นอน แต่เหตุผลที่ฟิลิปปินส์มีสูงมาก อาจเป็นเพราะสาวประเภทสองประเทศนี้เก่งภาษาอังกฤษมากกว่าสาวประเภทสองของประเทศอื่นนั่นเอง
เคยสงสัยไหมว่าทำไม บรรดาสาวประเภทสองในไทย ฟิลิปปินส์ และประเทศอื่นๆ ทั่วเอเชียส่วนใหญ่ จึงชอบนิยมชาวต่างชาติ มากกว่าคนในประเทศตัวเอง
คำตอบของคำถามนี้อาจเป็นเพราะการหาคู่ครองจากต่างประเทศสามารถมอบความมั่นคงทางการเงินและความมั่นใจในอนาคตให้กับพวกเธอได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเลดี้บอยทุกคนจะต้องการเพียงแค่เงิน เพราะพวกเธอส่วนใหญ่สามารถหาอาชีพที่มั่งคงได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว แต่ที่หายากกว่าเงินคือ ผู้ชายสักคนที่จริงใจ และพร้อมอยู่เป็นคู่ตลอดชีวิต
ทั้งนี้ แม้ชายชาวเอเชียจะมีความสนใจในสาวประเภทสองอยู่บ้าง แต่เพราะครอบครัวของพวกเขาอาจยังมีความหัวโบราณ และทัศนคติแบบอนุรักษนิยมเกี่ยวกับการสร้างครอบครัว จึงไม่แปลกที่ผู้ชายในเอเชียจะมองข้ามสาวประเภทสอง หรือในกรณีที่คบหากันแล้ว ฝ่ายชายก็จะไม่พาคู่ที่เป็นสาวประเภทสองไปแนะนำให้กับครอบครัวรู้จัก เพราะยังรู้สึกอับอายอยู่ และประเด็นของศาสนา ผู้ชายอาจเกิดความรู้สึกผิดต่อพระเจ้าด้วยซ้ำ
ในทางตรงกันข้าม ผู้ชายชาวตะวันตกจะดูเปิดกว้างมากกว่า และพร้อมที่จะมอบความสัมพันธ์ที่แท้จริงและจริงใจกับสาวประเภทสอง ทำให้การออกเดตกับชาวต่างชาติ มีโอกาสที่จะพัฒนาไปสู่ความสัมพันธ์ระยะยาวและผูกพันกันเหมือนคู่รักทั่วไปได้ไม่ยาก นอกจากนั้น ชาวตะวันตกยังไม่อายหากต้องพาคู่ที่เป็นสาวประเภทสองไปแนะนำให้เพื่อนๆ รู้จัก จึงไม่แปลกที่เลดี้บอยจะชอบคนที่มาจากต่างเชื้อชาติ ต่างวัฒนธรรมมากกว่า
ท้ายที่สุดแล้ว บทความนี้ไม่ได้ต้องการชี้ให้เห็นว่า เลดี้บอยประเทศไหนดีกว่ากัน เพราะทั้งสองชาติต่างก็มีความงามที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งสิ่งสำคัญคือต้องให้เกียรติ และชื่นชมความหลากหลายของพวกเธอ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง